วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

บารอกะห์ ตอน 2



ท่านหญิง “บารอกะหฺ” คือใคร ???
(ตอนที่ 2/3)
     กองคาราวานเดินทางด้วยย่างก้าวที่รวดเร็ว. บารอกะหฺพยายามปลอบใจอามีนะหฺเพื่อเห็นแก่ลูกของนาง และส่วนใหญ่เด็กชายมุฮัมมัดนอนหลับโดยมือของเขากอดรอบคอของบารอกะหฺไว้.
กองคาราวานใช้เวลาสิบวันในการเดินทางถึงมะดีนะหฺ.เด็กชายมุฮัมมัดถูกฝากไว้กับบรรดาน้าชาย ของ บานู นัจญาร ขณะที่อามีนะหฺไปเยี่ยมหลุมฝังศพของอับดุลลอฮฺ. ทุกๆวันของช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์นางอยู่กับหลุมฝังศพ.นางถูกกลืนโดยความโศกเศร้า.
ระหว่างทางกลับมักกะหฺ. อามีนะหฺล้มป่วยอย่างหนักเพราะไข้.ครึ่งทางระหว่างมะดีนะหฺและมักกะหฺ, ณ สถานที่หนึ่งเรียกว่า อัล-อับวา , พวกเขาหยุดพัก. สุขภาพของอามีนะหฺทรุดลงอย่างต่อเนื่อง. คืนหนึ่งที่มืดสนิท,ไข้ของนางขึ้นสูงมาก.อาการไข้ขึ้นสู่ศีรษะของนาง และนางได้เรียกหาบารอกะหฺด้วยเสียงที่ทำให้ตกใจ.
บารอกะหฺเล่าว่า: นางได้กระซิบที่หูของฉันว่า: ‘โอ้ บารอกะหฺ, ฉันจะต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้านี้.ฉันขอมอบลูกชายของฉันมุฮัมมัดให้อยู่ในการดูแลของเธอ.เขาสูญเสียพ่อของเขาเมื่อเขายังอยู่ในครรภ์ของฉัน.ในตอนนี้เขากำลังจะสูญเสียแม่ของเขาไปต่อหน้าต่อตาของเขา. จงเป็นแม่ให้เขา,บารอกะหฺ,และจงอย่าทิ้งเขาเป็นอันขาด’.
“หัวใจของฉันแตกสลายและฉันเริ่มสะอื้นและร้องไห้ออกมาในที่สุด.เด็กเริ่มกังวลจากการร้องไห้ของฉันและเริ่มร้องไห้.เขากระโจนเข้าหาอ้อมกอดแม่ของเขาและกอดรอบคอนางไว้แน่น.นางได้ส่งเสียงครวญขึ้นครั้งหนึ่งครั้งสุดท้าย และเงียบไปตลอดกาล.”
บารอกะหฺร้องไห้.เธอร้องไห้อย่างขมขื่น เธอขุดหลุมฝังศพในทรายด้วยกับมือของเธอเองและฝังอามีนะหฺลงไป,เธอทำให้หลุมศพชุ่มช่ำด้วยน้ำตาเท่าที่มีเหลือในหัวใจ. บารอกะหฺกลับมาพร้อมกับเด็กกำพร้ายังมักกะหฺและมอบเขาสู่การดูแลของปู่ของเขา. เธอก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั่นด้วยเพื่อดูแลเขา. เมื่ออับดุลมุตตอลิบได้เสียชีวิตลงสองปีหลังจากนั้น, เธอไปพร้อมกับเขายังบ้านของลุงของเขาอับดุลมุตตอลิบ และดูแลเขาในเรื่องที่จำเป็นต่อเขาต่อไปจนกระทั่งเขาเติบโตและได้แต่งงานกับท่านหญิงคอดิญะหฺ.
หลังจากนั้นบารอกะหฺอาศัยอยู่กับมุฮัมมัด(ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน)และคอดิญะหฺ(ขออัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยต่อนาง).ในบ้านของคอดิญะหฺ(ขออัลลอฮฺพึงพอใจนาง). “ฉันไม่เคยที่จะจากเขาและเขาไม่เคยที่จะจากฉัน” บารอกะหฺกล่าว.
วันหนึ่งมุฮัมมัด ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน ได้เรียกหานางและกล่าวว่า “ยา อุมมาฮฺ !” (ท่านมักจะเรียกนางว่า “แม่” เสมอ) “ในตอนนี้ฉันก็แต่งงานแล้วแต่ท่านยังไม่ได้แต่งงานเลย. ท่านคิดอย่างไรหากมีคนมาในตอนนี้เพื่อมาขอท่านแต่งงาน?”  บารอกะหฺมองไปยังมุฮัมมัด(ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน) และกล่าวว่า “ฉันจะไม่ทิ้งท่านไป. แม่คนหนึ่งจะทิ้งลูกของนางไปได้กระนั้นหรือ?” มุฮัมมัด(ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน)ยิ้มและจูบลงบนศีรษะของนาง. ท่านมองไปที่ภรรยาของท่าน ท่านหญิงคอดีญะหฺ(ขออัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยต่อนาง) และกล่าวว่า “นี่คือบารอกะหฺ. เธอเป็นแม่ของฉันหลังจากแม้แท้ๆของฉัน เธอคือญาติที่เหลือคนเดียวของฉัน”
บารอกะหฺมองไปยังท่านหญิงคอดิญะหฺ(ขออัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยต่อนาง)ผู้ซึ่งกล่าวกับนางว่า “บารอกะหฺ,ท่านได้เสียสละวัยสาวของท่านเพื่อมุฮัมมัด(ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน) ในตอนนี้เขาต้องการจะใช้คืนบางอย่างที่เป็นหน้าที่จำเป็นบนตัวเขาให้แก่ท่าน. เพื่อตัวท่านเองและเพื่อเขา,จงตกลงแต่งงานเถิด ก่อนที่ความชราจะมาเยือน”
“ฉันควรจะแต่งงานกับผู้ใดดี,โอท่านหญิง?” บารอกะหฺถาม
“ตอนนี้ อุบัยดฺ อิบนุ เซด จากเผ่า คอซรอจ แห่งมะดีนะหฺอยู่นี่แล้วไง เขามาที่นี่เพื่อขอให้เธอยื่นมือของเธอในการแต่งงาน คิดว่าทำเพื่อฉันก็แล้วกัน,จงอย่าปฏิเสธเลย ”
บารอกะหฺตอบตกลง.เธอได้แต่งงานกับอุบัยดฺ อิบนุ ซัยดฺ และไปมะดีนะหฺพร้อมกับเขา. ณ ที่นั่นเธอให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเธอเรียกเขาว่า “อัยมัน” และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนต่างเรียกเธอว่า “อุมมุอัยมัน” มารดาของอัยมัน.
อย่างไรก็ตาม การแต่งงานของเธอไม่ยั่งยืน สามีของเธอได้เสียชีวิตลง และเธอก็กลับมาใช้ชีวิตที่มักกะหฺอีกครั้งกับ มุฮัมมัด “บุตรชาย” ของเธอ ในบ้านของท่านหญิงคอดิญะหฺ. อาศัยอยู่ในครอบครัวเดียวกันซึ่ง ในตอนนั้นมี อลี อิบนุ อบีตอลิบ,ฮินดฺ(ลูกสาวของคอดิยะหฺจากสามีคนแรก),และ ซัยดฺ อิบนุ ฮาริษะหฺ อยู่ด้วย.
เซดเป็นชาวอาหรับจากเผ่าบนูกัลบฺ ซึ่งถูกจับมาตั้งแต่เด็กและถูกนำไปขายในตลาดทาส เขาถูกซื้อมาโดยหลานชายของท่านหญิงคอดียะฮฺและให้ไปช่วยทำงานบ้านของท่านหญิงคอดียะฮฺเซดกลายเป็นคนสนิทกับท่านนบีมุฮัมหมัด และอุทิศตนในการรับใช้ท่าน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเหมือนดั่งบุตรกับบิดา อันที่จริงเมื่อพ่อเซดมาถึงนครมักกะฮฺเพื่อตามหาเขา ท่านนบีมุฮัมหมัดให้เซดเลือกเองว่าจะไปอยู่กับพ่อของเขาหรือจะอยู่กับท่านคำตอบของเซดที่มีต่อพ่อของเขาคือ
 “ผมจะไม่ไปจากชายผู้นี้ เขาปฏิบัติต่อผมอย่างประเสริฐ เหมือนกับพ่อปฏิบัติต่อลูกชายของเขา ไม่มีแม้แต่วันเดียวที่ผมจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นทาส เขาดูแลผมอย่างดี เขามีเมตตา และมีความรักต่อผมและมอบความเพลิดเพลิน และความสุขให้แก่ผม เขาเป็นผู้ชายที่ประเสริฐสุดและเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งถูกสร้างผมจะทิ้งเขาและไปกับพ่อได้อย่างไร? ... ผมจะไม่ทิ้งเขาไปเด็ดขาด”
ต่อมาในที่ชุมนุม ท่านนบีมุฮัมหมัดประกาศให้อิสรภาพแก่เซดอย่างไรก็ตามเซดก็ยังคงอาศัยอยู่กับท่าน เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของท่าน และอุทิศตนเพื่อรับใช้ท่าน
เมื่อท่านนบีมุฮัมหมัดได้รับแต่งตั้งให้เป็นนบีบะรอกะฮฺ และเซด จึงเป็นคนกลุ่มแรกที่ศรัทธาในสาสน์ที่ท่านเผยแผ่ พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานร่วมกับพี่น้องมุสลิมในช่วงต้นๆของการทารุณกรรมของพวกกุเรชที่ทำกับพวกเขา
บะรอกะฮฺ และเซดให้ความช่วยเหลือที่ล้ำค่าต่อภารกิจของท่านนบีมุฮัมหมัดพวกเขาทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของการสืบหาข่าวกรอง ยอมเปิดเผยตัวเองให้ต้องถูกทารุณกรรม และถูกลงโทษจากพวกกุเรชและเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเพื่อที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแผนการ และการคบคิดกันของพวกมุชริกีน

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

บารอกะหุ ตอน 1

 ท่านหญิง “บารอกะหฺ” คือใคร ???
(ตอนที่ 1/3)
เด็กสาวชาวอบิสิเนียนคนหนึ่งลงเอยด้วยการถูกขายในมักกะหฺ. ยังมีอีกหลายๆคนที่เหมือนเธอ,ทั้งเด็กชายและเด็กหญิง,ทั้งอาหรับและไม่ใช่อาหรับ, ผู้ซึ่งถูกจับตัวและถูกนำมาที่ตลาดทาสของเมืองนี้ เพื่อขาย.
โชคชะตาอันน่ากลัวข้างหน้ารอคอยบางคนของพวกเขาอยู่ บรรดาผู้ซึ่งตกไปอยู่ในเงื้อมมือของนายทาสชายและหญิงที่โหดร้าย ผู้ซึ่งจะใช้แรงงานพวกเขาอย่างเต็มที่ และจะปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความแข็งกระด้างและหยาบคาย. แต่มีบางคนในสภาพไม่เป็นมนุษย์นี้ ดูเหมือนจะโชคดีกว่า. พวกเขาถูกนำตัวไปอยู่ในบ้านที่มีความสุภาพและผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยพวกเขา.
บารอกะหฺ, หญิงสาวอบิสิเนียน คือหนึ่งในผู้ที่โชคดีที่สุด เธอได้รับการช่วยเหลือโดย อับดุลลอฮฺ ผู้มีความเอื้อเฟื้อและใจดี,ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของอับดุลมุตตอลิบ. เธอกลายเป็นคนรับใช้เพียงคนเดียวในครอบครัวของเขาและเมื่อเขาแต่งงานกับ อามีนะหฺ เธอก็ช่วยดูแลงานการของอามีนะหฺเช่นกัน.
สองสัปดาห์หลังจากทั้งคู่แต่งงานกัน,ตามรายงานของบารอกะหฺ,บิดาของอับดุลลอฮฺมาที่บ้านของพวกเขาและสั่งใช้บุตรชายให้ออกไปกับกองคาราวานค้าขาย ซึ่งจะเดินทางไปซีเรีย. อามีนะหฺรู้เป็นสึกกังวลอย่างมากและร้องไห้ : “ช่างน่าแปลกใจ! ,ช่างน่าแปลกใจเสียจริง! สามีของฉันจะออกเดินทางไปค้าขายที่ซีเรียได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่ฉันยังอยู่ในสภาพเป็นเจ้าสาวของเขา และทั้งๆที่ร่องรอยของ เฮนน่า ยังหลงเหลืออยู่บนมือของฉัน.”
การจากไปของอับดุลลอฮฺเป็นสิ่งที่ทำให้ใจสลาย.ด้วยความปวดร้าว, อามีนะหฺหมดสติ. หลังจากที่เขาละจากไป, บารอกะหฺ กล่าวว่า : “เมื่อฉันพบว่าอามีนะหฺหมดสติไป,ฉันตะโกนออกมาด้วยเสียงดังเพราะความเครียดและเจ็บปวดว่า: ‘โอ้ท่านหญิงของฉัน ! ’ อามีนะหฺลืมตาของเธอขึ้นและมองฉันทั้งน้ำตาที่ไหลรินบนใบหน้าของเธอ.เธอข่มการคร่ำครวญไว้แล้วกล่าวว่า : “ช่วยพาฉันไปที่ที่นอนหน่อยเถอะ บารอกะหฺ”
อามีนะหฺอยู่ติดแต่ที่นอนเป็นระยะเวลานาน.นางไม่คุยกับใคร.ไม่แม้กระทั่งมองคนอื่นๆที่มาเยี่ยมนาง ยกเว้นอับดุลมุตตอลิบ,ชายชราผู้สูงศักดิ์และเป็นสุภาพบุรุษ.  “สองเดือนหลังจากที่หลังจากการละจากไปของอับดุลลอฮฺ,อามีนะหฺเรียกฉันตอนรุ่งสางและใบหน้าของนางส่องประกายด้วยความปิติ,นางได้กล่าวกับฉันว่า :
“โอ้ บารอกะหฺ !ฉันได้เห็นฝันที่แปลกประหลาด” “เป็นเรื่องที่ดี,โอ้ นายหญิง,” ฉันกล่าว.
 ฉันเห็นแสงออกมาจากท้องของฉันแล้วส่องแสงสว่างไปทั่วบรรดาภูเขา,เนินเขาและบรรดาหุบเขารอบๆมักกะหฺทั้งหมด” “ท่านรู้สึกว่าตั้งครรภ์หรือปล่าว,โอ้นายหญิงของข้า?”
“ใช่แล้ว,บารอกะหฺ” นางตอบ. “แต่ฉันไม่เห็นรู้สึกไม่สบายตัวเหมือนกับที่ผู้หญิงอื่นๆเค้ารู้สึก.” “ท่านจะได้ให้กำเนิดเด็กผู้ซึ่งจะนำพาซึ่งความดีงามมาเป็นแน่.” ฉันกล่าว.
ตราบเท่าที่อับดุลลอฮฺยังอยู่ห่างไกล,อามีนะหฺยังคงอยู่ในความโศกเศร้าและใจลอย.บารอกะหฺยังคงอยู่เคียงข้างนางและพยายามปลอบใจนางและให้กำลังใจนางด้วยการพูดคุยและเล่าเรื่องต่างๆให้นางฟัง. อย่างไรก็ตามอามีนะหฺได้รับความเครียดมากขึ้นเมื่ออับดุลมุตตอลิบเข้ามาและแจ้งว่านางจะต้องออกจากบ้านแล้วไปยังภูเขาเหมือนกับที่บรรดาชาวมักกะหฺคนอื่นๆทำ เนื่องด้วยการโจมตีที่กระชั้นเข้ามาสู่เมือง โดยผู้ครองเมืองเยเมนผู้ซึ่งมีนามว่า อับรอฮะหฺ. อามีนะหฺกล่าวกับเขาว่านางถูกความทุกข์ถาโถมเข้าใส่และอ่อนแอเกินไปที่จะออกไปยังภูเขา แต่นางก็ยังยืนกรานเรื่องนี้ด้วยว่าอับรอฮะหฺไม่สามารถเข้ามาในมักกะหฺเพื่อทำลายกะอฺบะหฺได้อย่างแน่นอน เพราะมันถูกรักษาโดยผู้ทรงอำนาจ.อับดุลมุตตอลิบเริ่มกระวนกระวายใจทว่าไม่มีท่าทีของความหวาดกลัวจากใบหน้าของอามีนะหฺแม้แต่เล็กน้อย.ความมั่นใจของนางในเรื่องที่ว่ากะอฺบะหฺจะไม่ถูกทำอันตรายเด็ดขาดนั้นได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน.กองทัพของอับรอฮะหฺพร้อมด้วยช้างที่อยู่ในแนวหน้าถูกทำลายราบก่อนหน้าที่มันจะได้เข้าเมืองมักกะหฺ.
ทั้งกลางวันและกลางคืน,บารอกะหฺอยู่เคียงข้างอามีนะหฺ.เธอกล่าวว่า “ฉันจะนอนอยู่ปลายเตียงและจะได้ยินเสียงพึมพำถึงสามีที่ไม่อยู่ของนางในตอนกลางคืน.เสียงของนางจะทำให้ฉันตื่นขึ้นและฉันจะคอยปลอบและให้กำลังใจนาง”
หัวแถวของคาราวานจากซีเรียกลับมาแล้ว และได้รับการต้อนรับอย่างปลื้มปีติดีใจจากครอบครัวต่างๆในนครมักกะฮฺ บะรอกะฮฺแอบไปที่บ้านของอับดุลมุตตอลิบเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับอับดุลลอฮฺ แต่ไม่มีข่าวคราวของเขาเลย เธอกลับไปแต่ไม่ได้บอกเธอสิ่งที่เธอได้พบหรือได้ยินมา เพราะอาจจะทำให้อามินะฮฺต้องทุกข์ทรมานเข้าไปอีก คาราวานทั้งหมดเข้ามาจนครบ แต่ไม่มีอับดุลลอฮฺ
ต่อมา เมื่อมีข่าวมาจากมาดีนะฮฺว่าอับดุลลอฮฺเพิ่งเสียชีวิตไป บะรอกะฮฺอยู่ที่บ้านอับดุลมุตตอลิบ เธอกล่าวว่า “ฉันกรีดร้องเมื่อฉันได้ยินข่าว ฉันไม่รู้ว่าทำอะไรไปบ้างหลังจากที่ได้ยินข่าว นอกจากวิ่งไปบ้านอามินะฮฺ ฉันตะโกน คร่ำครวญ ต่อการจากไปของอับดุลลอฮฺที่ไม่มีวันกลับ เสียใจให้กับคนรักที่เรารอคอยมาอย่างยาวนาน คร่ำครวญให้กับชายหนุ่มที่งดงามที่สุดของมักกะฮฺ สำหรับอับดุลลอฮฺ เขาคือความภาคภูมิใจของชาวกุเรช
เมื่ออามินะฮฺได้ยินข่าวอันเจ็บปวด เธอเป็นลมสิ้นสติ และฉันอยู่ข้างเตียงของนางในขณะที่นางอยู่ในสภาพระหว่างความเป็น และความตาย ไม่มีใครอื่น นอกจากฉันในบ้านของอามินะฮฺ ฉันพยาบาลนาง และดูแลนางในระหว่างวัน และตลอดทั้งคืนจนกระทั่งนางให้กำเนิดบุตรของนาง “มุฮัมมัด” ในคืนที่ชั้นฟ้างามอร่ามด้วยแสงจากอัลลอฮฺ”
เมื่อมุฮัมมัดได้ถือกำเนิดขึ้นมา,บารอกะหฺคือคนแรกที่ได้อุ้มเขาในอ้อมกอด.ปู่ของเขามาและนำเขาไปยังกะอฺบะหฺและฉลองการถือกำเนิดของเขากับชาวมักกะหฺทั้งหมด. บารอกะหฺอยู่กับอามีนะหฺขณะที่มุฮัมมัดถูกส่งตัวไปกับ ฮาลีมะหฺ ผู้ซึ่งดูแลเขาท่ามกลางบรรยากาศของความสดชื่นในทะเลทรายโล่ง.เมื่อครบกำหนด 5 ปี , เขาถูกนำกลับมาที่มักกะหฺและอามีนะหฺรับเขาด้วยความนุ่มนวลและความรัก และบารอกะหฺได้ต้อนรับเขา “ด้วยความดีใจ, ด้วยความปรารถนาและความชื่นชม”.
เมื่อมุฮัมมัดอายุได้หกปี,มารดาของเขาตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพของอับดุลลอฮฺสามีของนางที่มะดีนะหฺ. ทั้งบารอกะหฺและอับดุลมุตตอลิบพยายามที่จะห้ามปรามนาง. อย่างไรก็ตามอามีนะหฺได้ตั้งใจมั่นไปแล้ว. ดังนั้น ในเช้าวันหนึ่ง อามีนะหฺ,มุฮัมมัดและบารอกะหฺได้เริ่มออกเดินทาง. โดยนั่งเบียดกันในสัปคับ(หอดา Hawdaj ที่นั่ง มีม่านและหลังคา บนหลังอูฐ ) เล็กๆบนหลังอูฐตัวใหญ่ตัวหนึ่ง, เป็นส่วนหนึ่งจากกองคาราวานขนาดใหญ่ที่มุ่งหน้าไปซีเรีย. เพื่อที่จะปกป้องเด็กที่อ่อนโยนจากความเจ็บปวดและความกังวล, นางไม่ได้บอกให้มุฮัมมัดทราบว่านางกำลังจะไปเยี่ยมสุสานของพ่อของเขา.