วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Ar-Rahman Ar-Raheem 2

Ar-Rahman Ar-Raheem (ตอนที่ 2/3)
ตัวอย่างความเมตตาของอัลลอฮฺ
เราไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ถึงความเมตตาของอัลลอฮฺ
ท่า นอบูฮุรอยเราะหฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮฺ รายงานว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงแบ่งความเมตตาออกเป็น 100 ส่วน , พระองค์ทรงเก็บไว้ 99 ส่วน และส่ง 1 ส่วนลงมายังโลก . ด้วยกับ 1 ส่วนนี้ สิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์เมตตาซึ่งกันและกัน ดังนั้นแม้กระทั่งม้ายังยกเท้าของมันออกให้พ้นจากลูกของมัน เพื่อมันจะได้ไม่ย่ำไปบนมัน" (มุสลิม)
รายงานจากท่านอุมัร บิน ค้อตต้อบ รอฎิยัลลอฮุอันฮฺ ว่า "เชลยศึกบางคนได้ถูกพามาหารอซูลุ่ลลอฮฺ ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ,มีหญิงคนหนึ่งจากบรรดาเชลยศึกกำลังตามหาลูกของนาง ครั้นเมื่อนางพบลูก นางจึงกอดลูกไว้แน่นและเริ่มให้นมลูก , รอซูลุ่ลลอฮฺ ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวกับพวกเราว่า ' พวกท่านคิดว่า ผู้หญิงคนนี้จะโยนลูกของนางลงในไฟได้กระนั้นหรือ? ' พวกเราตอบว่า 'ไม่มีทาง ขอสาบานด้วยอัลลอ์ นางจะไม่สามารถโยนลูกของนางลงในไฟได้เด็ดขาด' รอซูลุ่ลลอฮฺ ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า 'อัลลอฮฺทรงเมตตาต่อบ่าวของพระองค์ยิ่งกว่าที่นางมีต่อลูกของนางเสียอีก'" (เป็นฮะดีษที่เห็นพ้องต้องกัน, อัลบุคอรี; 5653 ,มุสลิม;6912)
اِنَّ رَحْمَةَ اللهِ قَرِيْبٌ مِّنَ الْـمُحْسِنِيْنَ......
".......แท้จริงความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮฺนั้นใกล้กับผู้กระทำดีทั้งหลาย"(อัลอะอฺรอฟ : 56)
          อบูฮุรอยเราะหฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮฺ รายงานว่า ท่านนบี ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "หากผู้ศรัทธาได้รับรู้ถึงการลงโทษของอัลลอฮฺแล้ว (เข้าใจลักษณะการลงโทษที่มีต่อมนุษย์ในวันปรโลก) จะไม่มีผู้ใดหวังว่าเขาจะได้เข้าสวรรค์ (คือ หนทางสู่นรกนั้นง่ายมาก) และหากผู้ศรัทธาได้รับรู้ถึงความเมตตาอันสูงส่งของอัลลอฮฺแล้ว จะไม่มีใครสิ้นหวังจากการเข้าสู่ความเมตตาของพระองค์." (มุสลิม)
พระนามอันเป็นเอกลักษณ์
พระนาม "อัรเราะฮฺมาน" เป็นหนึ่งจากบรรดาพระนามที่เป็นเอกลักษณ์ของอัลลอฮฺ และไม่เป็นที่อนุมัติที่จะใช้เรียกสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยชื่อนี้   ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า
قُلِ ادْعُوااللهَ اَوِادْعُوْاالرَّحْمٰنَ اَيًّامَّا تَدْعُوافَلَهُ الْاَسْمَآءُالْحُسْنٰى
 "จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงเรียกอัลลอฮฺหรือเรียกอัรเราะฮฺมานเถิด อันใดก็ตามที่เจ้าเรียก สำหรับพระองค์นั้นพระนามสวยงามยิ่ง" (อัลอิสรออฺ : 110)

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Ar-Rahman Ar-Raheem 1

Ar-Rahman Ar-Raheem
(ตอนที่ 1/3)

อัร-เราะฮฺมาน อัร-รอฮีม
     มันทั้งสองคือคุณลักษณะของอัลลอฮฺ,และเป็นสองพระนามจากบรรดาพระนามอันไพรจิตของพระองค์ และทั้งสองคำนี้เป็นคำนามที่ได้มาจากคำกิริยา ร่อ-ฮิ-ม่ะ
    ทั้งสองถูกพูดถึงในอัลกุรอาน หลายต่อหลายครั้ง เป็นที่น่าสนใจว่า อัร-เราะฮฺมาน ถูกพูดถึง 57 ครั้ง และ อัร-รอฮีม 114 ครั้ง (114 คือสองเท่าของ 57), เราจะซาบซึ้งถึงความแตกต่างในจำนวนเหล่านี้ก็ต่อเมื่อ เราได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างในความหมายระหว่าง เราะฮฺมาน และ รอฮีม
    ในฮะดีษอัลกุ้ดซียฺมีรายงานว่า รอซูลของอัลลอฮฺกล่าวว่า อัลออฮฺกล่าวว่า : ข้าคือ  อัร-เราะฮฺมาน และข้าได้สร้าง รอฮีม (มดลูก) และตั้งชื่อมันตามชื่อของข้าเอง.
    ทำไมอัลลอฮฺทรงทำลักษณะนี้ ? เหตุก็เพราะว่ามดลูกของมารดานั้นเป็นตัวอย่างเพื่ออธิบายว่าความเมตตาต้องมีอะไรบ้าง. มดลูกของมารดาคือแหล่งของการปกป้อง,มันคือสถานที่ของการที่ผู้หนึ่งจะเติบโตและพัฒนาและถูกหล่อเลี้ยงในรูปแบบที่ไม่มีที่ใดเสมอเหมือน.
    ยังมีอีกประเภทหนึ่งของความเมตตา ซึ่งเรียกว่า เราะฟะหฺ (ความเห็นอกเห็นใจ) จากคำนี้เราได้พระนามหนึ่งของอัลลอฮฺ คือ อัร-รออูฟ, โดยทั่วไปจะแปลว่า,ผู้ทรงปรานีเอ็นดู.

ความแตกต่างระหว่าง รอฮัม และ เราะฟะหฺ
    เราะฟะหฺ; (ความเห็นอกเห็นใจ) ทุกๆคนรู้จักความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์ เป็นเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับความอ่อนโยนและการมีน้ำใจ. ดังนั้น เมื่อคุณได้ช่วยเหลือคนบางคนที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือ คุณได้แจกจ่ายของขวัญมากมายให้คนบางคน, คนที่คุณได้แสดงการกระทำข้างต้นให้เขาจะสามารถรับรู้และเข้าใจ (ถึงความเห็นอกเห็นใจนี้) ได้
    เราะฮฺมาน; (ความเมตตา) มีด้านหนึ่งของ เราะฟะหฺ อยู่ คือ ความอ่อนโยน/ความมีน้ำใจ แต่บางครั้งผู้หนึ่งได้มีเมตตาต่ออีกผู้หนึ่งแต่ทว่าผู้นั้นซึ่งได้รับความเมตตาอาจไม่สามารถรับรู้และเข้าใจสิ่งนั้นว่ามันคือความเมตตา.
    ตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของเรื่องนี้ตัวอย่างหนึ่ง คือ เมื่อพ่อแม่อบรมสั่งสอนระเบียบวินัยให้ลูก, พวกเขาทำไปเพราะต้องการลงโทษลูก หรือ เพราะความเมตตาที่มีต่อลูกของพวกเขา ? แน่นอน มันเป็นเพราะความเมตตา เพราะพ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นคนซื่อตรงและถูกฟูมฟักด้วยแนวทางที่ถูกต้อง.
    เมื่อคุณเข้าใจจุดนี้ คุณจะเข้าใจความสับสนของบางคนผู้ซึ่ งกล่าวว่า “หาก อิสลาม เป็นศาสนาแห่งความเมตตาแล้ว ทำไมจึงต้องตัดมือของขโมย หรือ ต้องประหารฆาตกรด้วย ? ” ที่จริงแล้วพวกเขาสับสน เราะฟะหฺ กับ เราะฮฺมะหฺ คือมันอาจไม่สามารถเห็นได้ว่ามันเป็นความเมตตาต่ออาชญากรและต่อสังคม แต่ทว่าในความเป็นจริง สิ่งนี้แหละคือความเมตตา.
    ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจว่า เราะฮฺมัต ของอัลลอฮฺนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ เราะฟะหฺ แต่มันเป็นมากกว่านั้น.
    ดังนั้นการที่บางคนพูดว่าศาสนานี้เป็นศาสนาที่ยาก เช่น การที่จะต้องละหมาดวันละ 5 เวลา, ต้องถือศีลอดในวันที่ร้อนจัดของฤดูร้อน ในเดือนรอมาฎอน, (โดยคิดว่า) ทำไม อัลลอฮฺจึงกำหนดให้เรา ต้องแบกรับภาระเหล่านี้ด้วย ? สิ่งนี้เกิดขึ้นจากความไม่รู้ของตัวบุคคลเอง เพราะว่าข้อกำหนดเหล่านี้ ในความเป็นจริง มันคือการกระทำที่มาจาก เราะฮฺมะหฺ ของอัลลอฮฺเพื่อพวกเรา.
            และสำหรับบางคน (ที่มีศรัทธาที่สูงส่ง) พวกเขามองสิ่งนี้ (ข้อกำหนดต่างๆของอัลลอฮฺ) ว่าเป็นสิ่งที่เหนือไปกว่าการกระทำแห่งความเมตตา, พวกเขามองมันเสมือนเป็นการกระทำแห่ง เราะฟะหฺ. ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น การให้ทาน, การถือศีลอดในวันที่ยาวนานของฤดูร้อน, การยืนขึ้นเพื่อละหมาดในยามค่ำคืนที่ยาวนานและหนาวเหน็บของ ฤดูหนาว, การเลี้ยงดูเด็กกำพร้า และอื่นๆ ก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ (บางคน) มองว่ามันเป็นดั่ง ของขวัญ จากอัลลอฮฺ. เป็นไปได้อย่างไร ? ก็เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น สื่อ ที่จะทำให้บุคคลหนึ่งสามารถเข้าใกล้ชิดกับอัลลอฮฺได้.

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หลัก 7 ข้อ เพื่อความสำเร็จ และผลที่ตามมา

หลัก 7 ข้อ เพื่อความสำเร็จ และผลที่ตามมา
โดย ดร. นีโด้ อาร์ คิวเบียน
อะไรคือความสำเร็จ? เพียงเราเท่านั้นที่สามารถให้คำจำกัดความมันได้ในชีวิตของเราเอง ในชีวิตของผมเอง ผมได้พยายามที่จะให้คำจำกัดความทั้งความสำเร็จและผลที่ตามมา
สำหรับผมแล้ว ความสำเร็จเป็นเรื่องทางโลก ส่วนผลที่ตามมาคือเรื่องทางธรรม
มันไม่สำคัญว่าเราจะให้คำจำกัดความกับคำว่าทางธรรมของเราเองว่าอะไร เพราะถึงอย่างไรเรื่องทางธรรมก็จะดีกว่า ลึกกว่าที่เราคิด และยาวนานกว่าเรื่องทางโลกเสมอ
หัวใจของความสำเร็จดูได้ที่สามเอฟ (3Fs)
  • Fans มีคนหลงใหล
  • Fame มีชื่อเสียง
  • Fortune มีทรัพย์สมบัติมากมาย
ความสำเร็จคือการมุ่งเน้นไปที่งาน หรือเป้าหมาย
ผลที่ตามมายังมุ่งเน้นไปที่สามเอฟด้วย คือ...
  • Faith มีศรัทธา

  • Family มีครอบครัว
  • Friends มีเพื่อนฝูง
แต่หัวใจของผลที่ตามมานั้นจะให้ความสำคัญที่เป้าหมาย  เช่นว่าทำไมฉันจะต้องอยู่ที่นี่? ฉันจะใช้พรสวรรค์ ความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะที่ฉันมีอย่างไร? ฉันจะทำให้ โลกใบนี้สวยขึ้นได้อย่างไร? ฉันจะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความยิ่งใหญ่ในชีวิตของผู้คนรอบข้างฉันอย่างไร? ฉันจะทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมได้อย่างไรจึงจะกลายเป็นวัฏจักรของการโน้มน้าวในที่ๆฉันพบและอาศัยอยู่?
ในการเลือกความสำเร็จและผลที่ตามมา เราจะต้องเป็นนักคิดเชิงกลยุทธ์ที่...
  • มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในสิ่งที่เราต้องการที่จะประสบความสำเร็จ
  • พัฒนากลยุทธ์ที่สามารถตอบสามคำถามนี้ได้
  • ในวันนี้เราเป็นใครหรือเป็นอะไรอยู่?
  • เราอยากจะเป็นใคร?
  • แล้วเราจะไปยืนตรงนั้นได้อย่างไร?
  • นำระบบที่ปฏิบัติได้จริงมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายของเรา
  • มุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะในความสม่ำเสมอนั้น ความสำเร็จจะโผล่ขึ้นมา
เมื่อดำเนินการตามแผนกลยุทธ์เพื่อความสำเร็จแล้ว มันจะลงไปที่ “สามดี (3 Ds)” คือ...
  • Decide ตัดสินใจเลือกความสำเร็จที่เราต้องการมากที่สุด
  • Determine กำหนดขั้นตอนแรกที่จะก้าวสู่สิ่งที่เราต้องการ
  • Do ทำในสิ่งแรกที่จะทำให้เราเริ่มเคลื่อนที่ไปสู่เป้าหมายของเรา
ด้วยหลัก 7 ข้อนี้ เราสามารถเลือกความสำเร็จและผลที่ตามมาได้ แต่ให้จำไว้ว่าความสำเร็จไม่ได้เป็นเรื่องของโชค ไม่ใช่อุบัติเหตุ ไม่ใช่รางวัลจากการทำคุณความดีใดๆ คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ผมรู้ว่าจะต้องเป็นคนที่มีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำ มีบางแห่งที่จะไป และมีใครบางคนที่จะรัก
ไม่มีผู้ใดจะมารับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือความสุขของเราได้ เราต้องค้นหามันให้เจอด้วยตัวของเราเอง และ เราต้องเป็นประจำทำตัวของเราให้อยู่ในสถานะอันคู่ควรที่จะได้มันมา
เพียงการที่จะประสบความสำเร็จเฉยๆนั้นมันไม่ใช่จุดสิ้นสุด เราต้องให้ความสำเร็จของเราส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆด้วย ... ส่งผลกระทบต่อโลก ... เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปจากด้านในสู่ด้านนอก
ทุกอย่างเริ่มต้นที่เราเลือก – มันคือตัวกำหนดตัวบุคคลที่เราอยากจะเป็น
ขอให้ประสบสิ่งที่ดีที่สุด /แมค แอนเดอร์สัน-ผู้ก่อตั้ง สถาบันสัจธรรมที่เรียบง่าย

เชิญเข้าร่วมสัมมนาโครงการมักตับเพื่อตัรบิยะฮฺและพัฒนาอัคล้ากในโรงเรียน(MaktabDTAS) ครั้งที่ 2

3  มุฮัรรอม  1437
16  ตุลาคม  2558
เรื่อง     เชิญเข้าร่วมสัมมนาโครงการมักตับเพื่อตัรบิยะฮฺและพัฒนาอัคล้ากในโรงเรียน(MaktabDTAS) ครั้งที่ 2
เรียน    ผู้บริหารโรงเรียน
สิ่งที่ส่งมาด้วย   แบบตอบรับการเข้าร่วมสัมมนา  จำนวน  1  ฉบับ
          ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาผู้ทรงเมตตาปราณีเสมอ ทางศูนย์อำนวยการศึกษาศาสนาระบบมักตับ  (ญัมอียะตุ้ลมะกาติ๊บ ) ได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนศาสนาขั้นพื้นฐาน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้รับการตัรบิยะฮฺ (ขัดเกลา) ควบคู่กับการปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ตลอดจนเสริมสร้างให้เกิดความรักในการเผยแผ่
          สืบเนื่องจากการสัมมนาโครงการมักตับเพื่อตัรบิยะฮฺและพัฒนาอัคล้ากในโรงเรียน(MaktabDTAS) เมื่อวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ณ มัสยิดกลาง จังหวัดสงขลาที่ผ่านมา ได้มีข้อสรุปร่วมกันว่าจะมีการจัดสัมมนาครั้งที่ 2 ขึ้น ระหว่างวันที่ 3-5  พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ณ โรงเรียนอิกเราะสามัญศึกษา กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 08.30 น. -  17.00 น.   โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือกับโรงเรียนต่างๆ ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเยาวชนมุสลิมและแบ่งปันสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนซึ่งกันและกัน
          ดังนั้นในโอกาสนี้ทางศูนย์ฯ ขอเรียนเชิญผู้บริหาร รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการศาสนาและสามัญ รวมจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้ที่มีความห่วงใยและพยายามพัฒนาเด็ก ๆ และเยาวชนมุสลิมในโรงเรียนของท่านอยู่แล้ว เข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ โดยขอให้กรอกแบบตอบรับและนำส่งแก่ผู้ประสานงาน(มุอาวิน)ในพื้นที่ของท่าน หรือส่งที่ iqra@maktabdtas.com ก่อนวันที่  27  ตุลาคม  2558
          หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการประสานความร่วมมือระหว่างโรงเรียนมุสลิม ในการร่วมกันพัฒนาอัคล้าก การตัรบิยะฮฺ และคุณภาพการศึกษาของเยาวชนมุสลิมต่อไป อินชาอัลลอฮฺ
          จึงขอเรียนเชิญท่านมา ณ โอกาสนี้
ﺟﺰﺍكم اﷲ ﺧﻴﺮا
وﺑﺎاﷲ ﺍﻟﺘﻮﻓﻴﻖ وﺍﻟﻬﺪﺍﻳﺔ  و اﻟﺴﻼم ﻋﻠﻴﻜﻢ ورﺣﻤﺔاﷲ وﺑﺮﻛﺎﺗﻪ

 ลงชื่อ
(เมาลานามุฮัมมัดซิดดิก บิน ฮานีฟ)
อมีรญัมอียะตุ้ลมะกาติ้บ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แล้วสิ่งนี่ก็จะผ่านไปเช่นกัน

This Too Shall Pass
แล้วสิ่งนี่ก็จะผ่านไปเช่นกัน – โปรดทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ให้ลึกๆ
ครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์หนึ่งได้สั่งให้เรียกบรรดาผู้รู้คนฉลาดทั้งหมดมาเข้าพบ และถามพวกเขาว่า
มีเวทย์มนต์ หรือข้อแนะนำใดๆบ้างไหม ที่สามารถจะนำไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ในทุกกรณี ในทุกสถานที่ และทุกเวลา ในทุกความสุข ทุกความเศร้า ทุกความพ่ายแพ้ และมีชัย? คำตอบเดียวสำหรับทุกปัญหา มีหรือไม่? สิ่งที่สามารถช่วยข้าได้ในตอนที่ไม่มีพวกเจ้าอยู่ให้คำแนะนำแก่ข้า บอกข้ามา มีคาถาอะไรไหม?
บรรดาผู้รู้คนฉลาดทั้งหมดยังคงมึนงงกับคำถามของพระราชา พวกเขาครุ่นคิด และครุ่นคิด หลังจากปรึกษากันอยู่อย่างยาวนาน ชายชราผู้หนึ่งได้ให้คำแนะนำบางอย่างที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องหันมามอง พวกเขาไปเข้าเฝ้าพระราชา และถวายกระดาษที่มีข้อความบางอย่างเขียนอยู่ในนั้นให้พระองค์
โดยมีเงื่อนไขว่าพระราชาจะต้องไม่เปิดดูมันเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น แต่พระองค์จะเปิดดูได้ก็เฉพาะในเวลาที่พบอันตรายและอยู่คนเดียว และดูเหมือนว่าจะไม่มี วิธีแก้ไขใดๆต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงสามารถเปิดอ่านข้อความในกระดาษได้
พระราชาพับกระดาษแผ่นดังกล่าว และสอดไว้ใต้แหวนเพชรของพระองค์
อยู่มาวันหนึ่ง ประเทศใกล้เคียงโจมตีอาณาจักรและกองทัพของพระองค์ พระราชาต่อสู้อย่างกล้าหาญ แต่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พระราชาต้องหนีเอาตัวรอดไปบนม้าของพระองค์ ศัตรูไล่ตามมาใกล้ขึ้น ประชิดขึ้น ในที่สุดพระราชาก็พบว่าตัวเองได้มายืนอยู่ที่สุดทางเสียแล้ว – ไม่ใช่ทางตัน แต่ไปไหนไม่ได้เนื่องจากข้างหน้ามีหุบเขาลึกกว่าพันฟุต ถ้าพระองค์กระโดดลงไป พระองค์ก็จะต้องฝากร่างไว้ที่หุบเหวนี้อย่างแน่นอน และครั้นจะหนีกลับไปทางเดิมก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นเส้นทางแคบๆ
... เสียงฝีเท้าม้าของศัตรูเริ่มควบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว พระราชากระสับกระส่าย ดูเหมือนจะไม่มีวิธีใดอีกแล้วที่จะพาตัวเองให้รอดออกไปจากที่นี่ได้
ทันใดนั้นเอง พระองค์เหลือบไปเห็นแหวนเพชรของพระองค์ส่องแสงแวววับจับตาเมื่อกระทบกับแสงจากดวงอาทิตย์ มันทำให้พระองค์จำได้ว่ามีข้อความซ่อนอยู่ในแหวนนั้น พระองค์ขยับแหวนเพชร และดึงเอาแผ่นกระดาษแผ่นนั้นออกมาอ่าน ข้อความในนั้นเขียนไว้ว่า
แล้วสิ่งนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน

พระราชาอ่านมัน และอ่านอีก ทันใดนั้นมันทำให้พระองค์ต้องอึ้ง – ใช่ซิ! สิ่งนี้จะผ่านไป
ก็เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ข้าได้รับความเพลิดเพลินกับอาณาจักร ของข้า ข้าเป็นผู้กล้าแห่งราชาทั้งหลาย แต่วันนี้ราชอาณาจักร และ ความสุขของข้าได้หายไปแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้ ในขณะพยายามที่จะหลบหนีจากศัตรู เช่นเดียวกับวันอันหรูหราฟุ่มเฟือยที่ผ่านพ้นไป วันนี้ที่อันตรายก็จะต้องผ่านไปเช่นกัน ความสุขสงบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพระราชา พระองค์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น และสถานที่ที่พระองค์กำลังยืนอยู่นั้นเต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ พระองค์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสถานที่ที่สวยงามนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรของพระองค์
การเปิดอ่านข้อความส่งผลกระทบอย่างแรงต่อตัวของพระราชา พระองค์รู้สึกผ่อนคลายจนลืมพวกที่กำลังตามพระองค์มา หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่นาที พระองค์ก็ตระหนักได้ว่าเสียงของม้าและศัตรูที่ไล่หลังมานั้น ได้ถอยห่างออกไปแล้ว พวกเขาเคลื่อนพลไปทางด้านอื่นของภูเขา และไม่มีศัตรูคนไหนเหลืออยู่ใกล้ๆกับพระองค์เลย
ด้วยความกล้าหาญของพระราชา พระองค์จัดระบบกองทัพ และกลับมาต่อสู้อีกครั้ง พระองค์ชนะศัตรู และช่วงชิงเอาอาณาจักรของพระองค์คืนมาจนได้ เมื่อพระองค์กลับไปอาณาจักรของตนหลังจากที่ได้รับชัยชนะ ชาวเมืองต่างดีใจ ทั้งหมดออกมาต้อนรับพระองค์ด้วยการประโคมเสียงแตรที่กึกก้องดังกังวาน
ทุกคนกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความรื่นเริง ดอกไม้ถูกโรยโปรยปรายไปบนพระราชา จากทุกบ้านทุกหลังคาเรือน ผู้คนร้องรำทำเพลงกันทุกหัวมุมถนน มีช่วงหนึ่งที่พระราชากล่าวกับตนเองว่า
ข้าคือหนึ่งจากราชาที่ห้าวหาญ และยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ใครจะเอาชนะข้าได้
จากการต้อนรับและการเฉลิมฉลองที่เกิดขึ้น ทำให้พระองค์มองเห็นอัตตาที่เกิดขึ้นใหม่ในตัวเอง
ทันใดนั้น แหวนเพชรของพระองค์ก็ส่องแสงแวววับเป็นประกายอีกครั้งในแสงแดด ทำให้พระองค์นึกถึงข้อความที่เพิ่งเปิดอ่าน และ อ่านอีกครั้งว่า
แล้วสิ่งนี้ก็จะผ่านไปเช่นกัน
พระองค์เงียบ ใบหน้าของพระองค์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง – จากลักษณะของผู้ทะนงตัว พระองค์กลายสภาพไปเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนที่สุด
ถ้าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ต้องผ่านไป เช่นกันแล้ว ดังนั้นมันไม่ใช่ของเจ้า ความพ่ายแพ้ก็ไม่ใช่ของเจ้า ความสำเร็จนั้นไม่ใช่ของเจ้า เจ้าเป็นเพียงผู้ชม เฝ้าดูทุกอย่างผ่านไป
เราเป็นผู้รู้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เรารับรู้มัน ชีวิตมีเกิด และมีดับ ความสุขจะมีมา และหายไป ความเศร้าจะผ่านมา และจากไป.
ตอน นี้ หลังจากที่ท่านได้อ่านเรื่องนี้ ลองแค่นั่งเงียบๆ และประเมินชีวิตของท่านเองดูสิ สิ่งเหล่านี้จะผ่านไป ลองคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของท่านสิ คิดถึงช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก และความพ่ายแพ้สิ สิ่งเหล่านั้นมันถาวรไหมล่ะ? ทั้งหมดจะมา และก็ผ่านไป
ชีวิตจะเพียงแค่ล่วงลับไป ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ถาวร ทุกอย่างจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ลองคิดทบทวนไปมาจากมุมมองของท่านเองสิ ท่านได้เห็นทั้งหมดที่เปลี่ยนแปลงมาแล้ว ท่านเอาตัวรอดมาได้จากความล้มเหลวและความผิดหวังทั้งหลาย ทั้งหมดได้ล่วงลับไปแล้ว ปัญหาในปัจจุบันก็เช่นกัน มันก็จะผ่านไป เพราะไม่มีอะไรจะยังคงอยู่ตลอดไป ความสุขและความเศร้าคือสองด้านของเหรียญเดียวกัน มันทั้งสองจะผ่านไป
ท่านเป็นเพียงสักขีพยานของการเปลี่ยนแปลง จงหาประสบการณ์ พยายามเข้าใจมัน และสนุกกับช่วงเวลาแห่งปัจจุบัน – ซึ่ง – สิ่งนี่ก็จะผ่านไปเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ไม่มีสอนในโรงเรียน ตอนที่ 4/4

สิ่งที่ไม่สอนในโรงเรียน (ตอนที่ 4/4)

 

Inline image 2
30. สิ่งที่สอน:การผ่าตัดครั้งแรกด้วยการดมยาสลบดำเนินการในปีค.ศ.1845โดย ซี. ดับบลิว. ลอง ชาวอเมริกัน
สิ่งที่ควรจะสอน :หกร้อยปีก่อน ซี. ดับบลิว. ลอง มุสลิมชาวสเปนชื่อ อัซซะฮฺ ราวี และอิบนุซุฮฺรฺจากบรรดาศัลยแพทย์ชาวมุสลิม ได้ทำการผ่าตัดหลายร้อยครั้งด้วยการสูดดมยาสลบ โดยใช้ฟองน้ำชุ่มยาโปะที่บนใบหน้า 
 

Inline image 3
31. สิ่งที่สอน:ในช่วงศตวรรษที่ 16 พาราเซลซัสได้ค้นพบว่าสามารถนำสารสกัดจากฝิ่นมาใช้ทำยาชาได้
สิ่งที่ควรจะสอน :แพทย์มุสลิมเป็นผู้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของอนุพันธ์ฝิ่นในเรื่องยาชาในช่วงยุคกลาง ชาวกรีกใช้ฝิ่นเป็นยาชา พาราเซลลัสได้ร่ำเรียนผลงานของอิบนุ ซินาทำให้มั่นใจได้เลยว่าเขาได้รับแนวคิดนี้มาจากตรงนั้น


Inline image 4
32. สิ่งที่สอน:ยาชาในปัจจุบัน​​ถูกคิดค้นขึ้นมาใช้ในศตวรรษที่ 19 โดยฮัมฟรีย์เดวี่และฮอเรซเวลส์
สิ่งที่ควรจะสอน :การระงับความรู้สึกที่ทันสมัยที่สุดถูกค้นพบควบคุมและทำให้สมบูรณ์โดยวิสัญญีแพทย์มุสลิมมาเป็นเวลา 900 ปีก่อนจะมีเดวี่และเวลส์ พวกเขาให้ยาผ่านทั้งทางช่องปากและทางสูดดม


Inline image 5
33. สิ่งที่สอน:แนวคิดในเรื่องของการกักบริเวณ (คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า) ได้รับการพัฒนาครั้งแรกในปี 1403 ในเวนิสออกเป็นกฎหมายใช้ป้องกันคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองจนกว่าจะผ่านช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งถึงตอนนั้นถ้าไม่พบวี่แววของความเจ็บป่วยใดๆ พวกเขาก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไป 
สิ่งที่ควรจะสอน :แนวความคิดในเรื่องของการกักบริเวณ (คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า) นั้นถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 7 โดยท่านนบีมูฮัมหมัด ผู้ที่เตือนอย่างชาญฉลาดไม่ให้เข้าหรือออกจากพื้นที่ที่เกิดโรคระบาด เป็นช่วงต้นของศตวรรษที่ 10 แพทย์มุสลิมได้ริเริ่มนำหอผู้ป่วยแยกสำหรับบุคคลที่ทุกข์ทรมานจากโรคติดต่อเข้ามาใช้งาน


Inline image 6
34. สิ่งที่สอน:การใช้งานทางวิทยาศาสตร์ของยาฆ่าเชื้อโรคในห้องผ่าตัดถูกค้นพบในปี 1865โดยศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ โจเซฟ ลิสเตอร์ 
สิ่งที่ควรจะสอน :ต้นๆศตวรรษที่ 10 นั้นคณะแพทย์และศัลยแพทย์ชาวมุสลิมได้นำแอลกอฮอล์บริสุทธิ์มาใช้กับแผลสดแทนน้ำยาฆ่าเชื้อ ศัลยแพทย์ในอิสลามสเปนใช้วิธีการพิเศษในการฆ่าเชื้อก่อนและระหว่างการผ่าตัด พวกเขายังเป็นผู้กำหนดข้อตกลงที่เจาะจงสำหรับการรักษาสุขอนามัยในช่วงระยะหลังการผ่าตัด ความสำเร็จของพวกเขาอยู่ในระดับสูงมาก จนถึงขนาดที่ว่าแขกผู้มีเกียรติทั่วยุโรปจะมาคอร์โดวาสเปน เพื่อที่จะได้รับการรักษาในสถานที่ที่เปรียบเสมือนเป็น "โรงพยายาบาลเมโย" ในยุคกลางก็ว่าได้


Inline image 7
Inline image 8
35. สิ่งที่สอน:ในปี 1545ศัลยแพทย์อัมบรัวส์แพร์ ชาวฝรั่งเศส ทำให้วิทยาศาสตร์ด้านการผ่าตัดก้าวหน้าไปมาก ก่อนที่จะมีเขาศัลยแพทย์พยายามที่จะหยุดเลือดผ่านขั้นตอนที่น่าสยดสยองด้วยการทำให้บาดแผลไหม้เกรียมด้วยน้ำมันเดือด แพร์หยุดการใช้น้ำมันเดือดและเริ่มรัดหลอดเลือดแดงเขาได้รับขนามนามว่าเป็น "บิดาแห่งการผ่าตัดที่มีเหตุมีผล"แพร์เป็นชาวยุโรปคนแรกเช่นกันที่ประณาม "การผ่าตัดที่พิลึกพิลั่น" ที่มีขั้นตอนของการใช้เครื่องเจาะด้วย
สิ่งที่ควรจะสอน :ศัลยแพทย์อิสลามที่มีชื่อเสียงของสเปนอัซซะฮฺรอวี (ในปี 1013) เริ่มใช้วิธีการรัดหลอดเลือดแดงด้วยการเย็บมานานกว่า 500 ปีก่อนแพร์ เขาทำให้การใช้งานของเอ็นแมวเกิดความสมบูรณ์แบบนั่นคือการเย็บแผลด้วยลำไส้สัตว์ นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ริเริ่มการใช้ผ้าฝ้ายบวกขี้ผึ้งเสียบบาดแผลที่เลือดไหลรายละเอียดเต็มรูปแบบของผลงานของเขาได้รับการเปิดเผยสู่ชาวยุโรปผ่านการแปลเป็นภาษาลาติน
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ช่างผมและคนเลี้ยงสัตว์เป็นบุคคลหลักของการฝึก "ศิลปะ" การผ่าตัดต่อมาเป็นเวลาเกือบหกศตวรรษหลังจากการตายของอัซซะฮฺรอวี ตัวแพร์เองก็เป็นแค่ช่างตัดผมแม้ว่าโดยทั่วไปเขาจะมีฝีมือมากขึ้นและขยันขันแข็งกว่าคนอื่นๆก็ตาม 
ตำราหลายสิบโหลรวมอยู่ในมรดกของอัซซะฮฺรอวี ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือตำราชุด 30 เล่มในเรื่องยาและการผ่าตัด หนังสือของเขามีหมวดที่เกี่ยวกับเวชศาสตร์ป้องกันโภชนาการเครื่องสำอางการรักษาด้วยยาเทคนิคการผ่าตัดการระงับความรู้สึกการดูแลก่อนและหลังการผ่าตัด รวมถึงภาพวาดของอุปกรณ์การผ่าตัดจำนวนมากกว่า 200 ชิ้น เขาคิดค้นหลายสิ่งหลายอย่าง ในด้านของการปรับแต่งและด้านวิชาการ ต้องถือว่าอัซซะฮฺรอวีเป็นบิดาและผู้ก่อตั้งการผ่าตัดที่มีเหตุมีผลไม่ใช่แพร์ผู้ไร้การศึกษา


Inline image 9
36. สิ่งที่สอน:ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 วิลเลียมฮาร์วีย์ค้นพบการไหลเวียนของเลือด เขาเป็นคนแรกที่อธิบายการทำงานของหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดดำได้อย่างถูกต้องกาเลนแห่งกรุงโรมได้นำเสนอความคิดที่ผิดพลาดเกี่ยวกับระบบไหลเวียนของเลือดและฮาร์วีย์เป็นคนแรกที่ตรวจสอบพบว่าเลือดถูกสูบไปทั่วร่างกายผ่านการกระทำของหัวใจและวาล์วหลอดเลือดดำ ดังนั้นเขาได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ก่อตั้งวิชาสรีรวิทยา
สิ่งที่ควรจะสอน :ในศตวรรษที่ 10 อัรรอซีของอิสลามเขียนตำรารักษาระบบหลอดเลือดดำในเชิงลึก เขาอธิบายถึงการทำงานของเส้นเลือดและวาล์วได้อย่างถูกต้องแม่นยำอิบนุนัฟซฺและอิบนุ อัลคัฟ (ในศตวรรษที่ 13) ได้จัดทำเอกสารข้อมูลเต็มรูปแบบเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดได้อย่างถูกต้องและอธิบายสรีรวิทยาของหัวใจและการทำงานของวาล์วหลอดเลือดเมื่อ 300 ปีก่อนที่ฮาร์วีย์นายวิลเลียมฮาร์วีย์เป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยปาดัวที่มีชื่อเสียงของอิตาลีในช่วงเวลาที่หลักสูตรส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นไปตามตำราของอิบนุซินาและอัรรอซี


Inline image 10
37. สิ่งที่สอน:ฟาร์มาโคเปีย (ตำรายา) เล่มแรกได้รับการตีพิมพ์โดยนักวิชาการเยอรมันในปี 1542 ตามที่ปรากฎในสารานุกรมโลกหนังสือวิทยาศาสตร์เภสัชวิทยาเริ่มในปี 1900 เป็นต้นตอทางเคมีอันสืบเนื่องมาจากการวิเคราะห์วัสดุของพืชดิบ หลังจากที่นักเคมีแยกสารออกฤทธิ์ออกจากพืชสมุนไพรที่พวกเขารู้ว่ามีคุณค่า 
สิ่งที่ควรจะสอน :นักวิชาการที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์อาหรับคือฟิลลิปฮิตตี้เป็นมุสลิมไม่ใช่ชาวกรีกหรือยุโรป เป็นผู้เขียนฟาร์มาโคเปียเล่มแรกที่ "ทันสมัย"ศาสตร์ด้านเภสัชวิทยาเกิดจากแพทย์มุสลิมในช่วงศตวรรษที่ 9 พวกเขาพัฒนามันจนเป็นศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนมาก และเป็นศาสตร์ที่แน่นอนนักเคมีชาวมุสลิมเภสัชกรและแพทย์ผลิตยาและ/หรือสารสกัดจากสมุนไพรดิบเป็นพันๆชนิดมาเป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีก่อนที่จะเกิดวิชาเภสัชวิทยา ในช่วงศตวรรษที่ 14 อิบนุ บัยตัรเขียนอนุสาวรีย์ยา แจกแจงรายชื่อยาที่แตกต่างกันถึง 1400 อย่าง ฟาร์มาโคเปียอื่นๆอีกเป็นร้อยๆเล่ม ที่ถูกตีพิมพ์ในช่วงยุคอิสลาม มันอาจเป็นไปได้ว่าผลงานของชาวเยอรมันมาจากต้นตอของอิบนุบัยตัรซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วไปในทวีปยุโรป


Inline image 11
38. สิ่งที่สอน:การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องของการใช้ยาเพื่อรักษาโรคเฉพาะทางถูกพบโดยพาราเซลซัสแพทย์ชาวสวิสโดยกำเนิด ในช่วงศตวรรษที่ 16 เขายังได้รับความเชื่อถือว่าเป็นคนแรกที่ใช้ประสบการณ์ทางการปฏิบัติมาเป็นปัจจัยกำหนดการรักษาผู้ป่วยค่อนข้างมาก กว่าที่จะอาศัยเฉพาะผลงานของคนในสมัยโบราณ
สิ่งที่ควรจะสอน :อัรรอซี, อิบนุซินา, อัลคินดี,อิบนุ รุชดฺ, อัซซะฮฺรอวี, อิบนุ ซุฮฺรฺ,อิบนุบัยตัร, อิบนุ อัลญัซซัร, อิบนุ จุลจุ้ล, อิบนุ อัลคัฟ, อิบนุ อัลนัฟซฺ,อัลบิรูนี่, อิบนุ ซะฮฺลฺและแพทย์มุสลิมอื่นๆอีกหลายร้อยคนที่มีความสันทัดในวิทยาศาสตร์ด้านการรักษาด้วยยาต่ออาการเฉพาะโรคในความเป็นจริงแนวคิดนี้เป็นสิ่งค้นพบของพวกเขาอย่างสิ้นเชิงคำว่า "ยา" มาจากภาษาอาหรับ ด้วยเหตุนี้การรักษาโดยใช้ประสบการณ์และการสังเกตอย่างระมัดระวังได้แพร่หลายออกไป 
แพทย์มุสลิมเป็นคนแรกที่วิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีและการปฏิบัติทางการแพทย์โบราณอัรรอซีอุทิศหนังสือทั้งเล่มซึ่งเป็นบทวิจารณ์เรื่องทางกายวิภาคของเกเลน ผลงานของพาราเซลซัสไม่มีนัยสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับปริมาณมากมายของงานเขียนทางการแพทย์และต้นกำเนิดการค้นพบที่ประสบความสำเร็จจากวงการแพทย์ยักษ์ใหญ่ของอิสลาม


Inline image 12
39. สิ่งที่สอน:วิธีการรักษาโรคที่สมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรกคือที่รักษาโดยชาวเยอรมัน ชื่อโยฮันน์เวกเนอร์ ในปี 1500 
สิ่งที่ควรจะสอน :ฮาวาร์ดจอร์จซาร์ตั้นกล่าวว่าการเภสัชในแพทย์แผนปัจจุบันนั้นเป็นการพัฒนาของอิสลามทั้งสิ้น และการบันทึกตรงกับแพทย์มุสลิมในศตวรรษที่9 จนกระทั่งศตวรรษที่ 12 ว่าเป็นชนิดที่แม่นยำ เป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุผลและสมบูรณ์แข็งแรงในแนวทางของพวกเขา โยฮันน์เวกเนอร์เป็นหนึ่งในแพทย์ชาวยุโรปหลายพันคนในช่วงศตวรรษที่15 ถึงศตวรรษที่ 17 ที่ได้ศึกษาเรื่องการแพทย์ของอัรรอซี และอิบนุซินาตัวเขาเองนั้นไม่ได้คิดค้นอะไรขึ้นมาเลย


Inline image 13
40. สิ่งที่สอน:ฟิลิปพินัลทำให้การรักษาคนบ้าด้วยยาเป็นไปอย่างถูกต้องตามสมัยในปี 1793 เขาเปิดโรงพยาบาลโรคจิตแห่งแรกในฝรั่งเศส 
สิ่งที่ควรจะสอน :ประมาณต้นศตวรรษที่ 11 โรงพยาบาลอิสลามมีวอร์ดรักษาคนโรคจิตโดยเฉพาะ พวกเขาได้รับการรักษาพวกเขาได้รับเมตตาและสันนิษฐานว่าโรคของพวกเขาเป็นจริงในช่วงเวลาที่คนบ้าถูกเผาทั้งเป็นในยุโรปเป็นประจำ เหมือนเป็นแม่มดและพ่อมดกระนั้น มีการนำวิธีการรักษาเพื่อบำบัดความเจ็บป่วยทางจิตมาใช้ และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้ป่วยเป็นโรคจิตได้รับการรักษาด้วยการดูแลสนับสนุนทั้งจากยาและจิตบำบัด ทุกเมืองสำคัญๆของอิสลามมีโรงพยาบาลรักษาโรคจิตที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆตามความจริงแล้ว อิสลามเหนือกว่าในเรื่องการรักษาผู้ป่วยทางจิตเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยปัจจุบัน เนื่องจากมีมนุษยธรรมมากขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงเช่นกัน


Inline image 14
41. สิ่งที่สอน:น้ำมันก๊าดถูกผลิตขึ้นมาครั้งแรกโดยชาวอังกฤษอับราฮัม เกสเนอร์ในปี 1853 เขากลั่นมันออกมาจากยางมะตอย 
สิ่งที่ควรจะสอน :นักเคมีชาวมุสลิมผลิตน้ำมันก๊าดด้วยการกลั่นจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมานานกว่า 1,000 ปีก่อนเกสเนอร์(ดูสารานุกรมบริแทนิกาภายใต้หัวข้อการปิโตรเลียม)
Inline image 15

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

สิงที่ไม่มีสอนในโรงเรียน ตอนที่ 3/4

สิ่งที่ไม่สอนในโรงเรียน (ตอนที่ 3/4)

 21.สิ่งที่สอน : มนุษย์คนแรกที่จำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ของคนคือชาวเยอรมันชื่อโยฮันน์ เอฟ บลูเมนบาช เขาได้จัดแบ่งประเภทของมนุษย์ออกเป็นคนผิวขาว, ผิวเหลือง, ผิวน้ำตาล, ผิวดำ และผิวแดง
สิ่งที่ควรจะสอน : นักวิชาการมุสลิมตั้งแต่ศตวรรษ 9 ถึงศตวรรษที่ 14 ได้คิดค้นศาสตร์ด้านกลุ่มชาติพันธุ์ นักภูมิศาสตร์ชาวมุสลิมจำนวนหนึ่งจัดแบ่งเผ่าพันธุ์ โดยเขียนคำอธิบายรายละเอียดของนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาทางวัฒนธรรมและทางกายภาพ พวกเขาเขียนเรื่องนี้หลายพันหน้า งานของบลูเมนบาชถือเป็นเรื่องสัพเพเหระเมื่อเทียบกับงานของพวกเขา



 22.สิ่งที่สอน : ศาสตร์ทางด้านภูมิศาสตร์ฟื้นฟูขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 15, 16 และ 17 เมื่อ ปโตเลมีค้นพบงานเก่าแก่ในยุคโบราณ การเดินทางของนักรบครูเสดและชาวโปรตุเกส/เสปนก็มีส่วนกระตุ้นในเรื่องนี้ ตำราวิทยาศาสตร์ที่กล่าวเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ถูกผลิตขึ้นมาใช้ในช่วงเวลานี้โดยนักวิชาการของยุโรป
สิ่งที่ควรจะสอน : นักภูมิศาสตร์ชาวมุสลิมเป็นผู้ผลิตหนังสือเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของทวีปแอฟริกา, เอเชีย, อินเดีย, จีนและอินดี้ โดยไม่บอกจำนวนเล่มในช่วงศตวรรษที่ 8 ถึงศตวรรษที่ 15 งานเขียนเหล่านี้รวมถึงสารานุกรมทางภูมิศาสตร์เล่มแรกของโลก ปฏิทินบันทึกเหตุการณ์ และแผนที่ถนน จำนวนผลงานชิ้นเอกของอิบนุบะทูทะฮฺในศตวรรษที่ 14 ให้มุมมองที่ละเอียดเกี่ยวกับสภาพทางภูมิศาสตร์ของโลกยุคโบราณ นักภูมิศาสตร์ชาวมุสลิมตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 จนถึงศตวรรษที่ 15 ไปไกลเกินกว่าข้อมูลที่ส่งออกมาจากยุโรปเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของภูมิภาคนี้ในศตวรรษที่ 18 มากนัก สงครามครูเสดนำไปสู่​​การล่มสลายของสถาบันการศึกษา นักวิชาการ และหนังสือของพวกเขา พวกเขาไม่ได้นำอะไรเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ที่สำคัญๆมาสู่โลกตะวันตกเลย

23.สิ่งที่สอน :ในศตวรรษที่ 17 โรเบิร์ตบอยล์ เป็นผู้ก่อกำเนิดวิชาเคมี
สิ่งที่ควรจะสอน : ความหลากหลายของนักเคมีชาวมุสลิมรวมทั้งอัร รอซี, อัล ญับรฺ, อัล บิรูนี่ และอัลคินดี้ ได้ทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในด้านเคมีมาประมาณ 700 ปีแล้วก่อนจากบอยล์เสียอีก ดูแรนต์เขียนว่าชาวมุสลิมเป็นผู้นำวิธีการทดลองมาใช้กับศาสตร์ในด้านนี้ ฮัมโบลด์เห็นว่ามุสลิมเป็นผู้ก่อตั้งวิชาเคมี


24.สิ่งที่สอน :เลโอนาร์โด ดาวินชี (แห่งศตวรรษที่ 16) ก่อให้เกิดวิชาธรณีวิทยาเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าฟอสซิลที่พบบนภูเขาเป็นสิ่งระบุต้นกำเนิดน้ำของโลก
สิ่งที่ควรจะสอน :อัลบิรูนี่ (ในศตวรรษที่ 11) ทำการสำรวจเรื่องนี้อย่างแม่นยำ และเสริมเข้าไปมากกว่านั้นอีก รวมทั้งหนังสือธรณีวิทยาเล่มใหญ่ ซึ่งมีมาหลายร้อยปีก่อนที่ดาวินชีเกิดเสียอีก อิบนุซินากล่าวเช่นนั้นเหมือนกัน อาจเป็นไปได้ว่าดาวินชีไปเรียนรู้แนวคิดนี้มาจากตำราภาษาละตินที่แปลมาจากตำราอิสลาม เขาไม่ได้เสริมอะไรเพิ่มเข้าไปเลยจากการค้นพบของพวกเขา


25.สิ่งที่สอน :ครั้งแรกในการกล่าวถึงการก่อตัวทางธรณีวิทยาของหุบเขาเกิดขึ้นในปี 1756 เมื่อนิโคลัส เดสมาเรสท์ เสนอแนวคิดว่าหุบเขาได้ใช้เวลาอันยาวนานในการก่อตัวด้วยลำธาร
สิ่งที่ควรจะสอน : อิบนุซินาและอัลบิรูนี่ทำการค้นพบครั้งนี้อย่างแม่นยำในช่วงศตวรรษที่ 11  700 ปีเต็มก่อนยุคของเดสมาเรสท์


26.สิ่งที่สอน : กาลิเลโอ (ในศตวรรษที่ 17) คือนักทดลองที่ยิ่งใหญ่คนแรกของโลก
 สิ่งที่ควรจะสอน : อัลบิรูนี่ (ในปีคริสต์ศักราช 1050) เป็นนักทดลองที่ยิ่งใหญ่คนแรกของโลก เขาเขียนหนังสือกว่า 200 เล่ม ซึ่งมีมากมายหลายเล่มกล่าวเกี่ยวกับการทดลองของเขาได้อย่างแม่นยำ ผลงานวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ของเขามีจำนวนถึงประมาณ 13,000 หน้า เกินกว่าที่เขียนโดยกาลิเลโอ หรือทั้งของกาลิเลโอและนิวตันรวมกันในเรื่องนี้เสียอีก

 27.สิ่งที่สอน : จิโอแวนนี่ มอร์กแอกนี่ ชาวอิตาลี ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาพยาธิวิทยาเพราะเขาเป็นคนแรกที่อธิบายลักษณะของโรคได้อย่างถูกต้อง
สิ่งที่ควรจะสอน : บรรดาศัลยแพทย์อิสลามเป็นนักพยาธิวิทยาคนแรกๆ พวกเขารู้จักลักษณะของโรค และอธิบายความหลากหลายของโรคในรายละเอียดที่ทันสมัย อิบนุซุฮฺรฺ อธิบายถึงลักษณะของโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ วัณโรค และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้อย่างถูก ต้อง อัซซะฮฺรอวี เขียนข้อมูลพยาธิวิทยาของ ไฮโดรเซฟฟอรัส (น้ำในสมอง) และโรคประจำตัวอื่น ๆ ได้อย่างถูกต้อง อัลคัฟ และอิบนุนัฟซฺ ให้รายละเอียดของโรคการไหลเวียนโลหิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ศัลยแพทย์ชาวมุสลิมอื่นๆได้ให้คำอธิบายที่ถูกต้องเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับโรคมะเร็งบางโรครวมทั้งโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ลำไส้ และหลอดอาหาร ศัลยแพทย์เหล่านี้ต่างหากที่เป็นผู้ก่อตั้งวิชาพยาธิวิทยา ไม่ใช่ จิโอแวนนี่ มอร์กแอกนี่


28.สิ่งที่สอน : พอลล์ เอห์ลิช (ในศตวรรษที่ 19) เป็นผู้ก่อกำเนิดยาเคมีบำบัดที่ใช้ยาเฉพาะเจาะจงในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์
สิ่งที่ควรจะสอน : แพทย์มุสลิมที่ใช้สารเฉพาะอย่างหลากหลายในการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ พวกเขาใช้กำมะถันทาเฉพาะที่เพื่อจะฆ่าไรหิด อัรรอซี (ในศตวรรษที่ 10) ใช้สารปรอทเป็นสารระงับเชื้อเฉพาะที่


29.สิ่งที่สอน : แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ผลิตโดยการผ่านการกลั่นครั้งแรกโดยอาร์โนล์ เดอวิลลาโนวา นักเล่นแร่แปรธาตุชาวสเปนในปี ค.ศ. 1300
สิ่งที่ควรจะสอน : นักเคมีมุสลิมจำนวนมากผลิตแอลกอฮอล์ยาผ่านการกลั่นตั้งแต่ช่วงต้นๆของศตวรรษที่ 10 และผลิตอุปกรณ์การกลั่นเครื่องแรกๆสำหรับใช้ในงานเคมีเป็นจำนวนมาก พวกเขาใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย และเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ


30.สิ่งที่สอน : การผ่าตัดครั้งแรกด้วยการดมยาสลบ ดำเนินการในปีค.ศ.1845 โดย ซี. ดับบลิว. ลอง ชาวอเมริกัน
สิ่งที่ควรจะสอน : หกร้อยปีก่อน ซี. ดับบลิว. ลอง มุสลิมชาวสเปนชื่อ อัซซะฮฺ ราวี และอิบนุ ซุฮฺรฺ จากบรรดาศัลยแพทย์ชาวมุสลิม ได้ทำการผ่าตัดหลายร้อยครั้งด้วยการสูดดมยาสลบ โดยใช้ฟองน้ำชุ่มยาโปะที่บนใบหน้า


สิ่งที่ไม่มีสอนในโรงเรียน ตอนที่ 2/4

สิ่งที่ไม่สอนในโรงเรียน  (ตอนที่ 2 / 4)


  1. สิ่งที่สอน : บุคคลแรกที่นำสัญลักษณ์ทางพีชคณิตมาใช้ให้เกิดประโยชน์คือนักคณิตศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส ชื่อฟรังซัวร์ วีต้า เขาเขียนหนังสือพีชคณิตในปี 1591 อธิบายสมการด้วยตัวอักษร เช่นที่คุ้นเคยอยู่ในขณะนี้เช่น x และ y อาซิมอฟ กล่าวว่า การค้นพบนี้มีผลกระทบคล้ายกับ ความก้าวหน้าจากเลขโรมันไปสู่ตัวเลขอารบิก
สิ่งที่ควรจะสอน : นักคณิตศาสตร์มุสลิม ผู้คิดค้นพีชคณิต เป็นผู้แนะนำแนวคิดในเรื่องของการใช้ตัวอักษรเป็นตัวแปรที่ไม่ทราบค่าในเลขสมการตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 9 ด้วยกับระบบนี้พวกเขาแก้ไขความหลากหลายของสมการที่ซับซ้อนรวมทั้งสมการซึ่งเป็นลูกบาศก์และเป็นสมการที่มีตัวไม่รู้ค่าเป็นจำนวนยกกำลังสอง พวกเขาใช้สัญลักษณ์ในการพัฒนาทฤษฎีบททวินามและทำให้ทฤษฎีนี้สมบูรณ์




  1. สิ่งที่สอน : สมการลูกบาศก์ที่ยากๆ (เช่น x พลังงานที่สาม) ยังคงติดใจอยู่จนกระทั่งศตวรรษที่ 16 เมื่อนิโคโล่ ทารทักเลีย นักคณิตศาสตร์ ชาวอิตาลี แก้ปัญหาเหล่านี้ให้
 สิ่งที่ควรจะสอน : สมการลูกบาศก์และสมการที่มีตัวเลขหลากหลายหรือแม้แต่ที่ยากกว่านั้นได้รับการแก้ได้อย่างง่ายดาย โดย นักคณิตศาสตร์ชาวมุสลิมตั้งแต่ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 10



  1. สิ่งที่สอน : แนวความคิดที่ว่าอาจจะมีตัวเลขที่น้อยกว่าศูนย์เป็นตัวเลขติดลบ ไม่มีใครรู้จนกระทั่งในปี 1545 เมื่อ เจอโรนิโม คาร์ดาโน่ ได้นำแนวคิดในเรื่องเลขศูนย์มาใช้
สิ่งที่ควรจะสอน : นักคณิตศาสตร์มุสลิมได้ริเริ่มนำตัวเลขติดลบมาใช้ในความหลากหลายของฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์ อย่างน้อย 400 ปีก่อน เจอโรนิโม คาร์ดาโน่


  1. สิ่งที่สอน : ในปี 1614 จอนห์ แนปิเออร์ เป็นผู้คิดค้นลอการิทึมและตารางลอการิทึม
 สิ่งที่ควรจะสอน : นักคณิตศาสตร์มุสลิมคิดค้นลอการิทึมและผลิตตารางลอการิทึมมาก่อนนั้นหลายร้อยปี ตารางดังกล่าวเป็นเรื่องปกติในโลกอิสลามในช่วงต้นๆของศตวรรษที่ 13



  1. สิ่งที่สอน : ในช่วงศตวรรษที่ 17 รีน ดิสคาร์ทิส ค้นพบว่าสามารถนำพีชคณิตมาใช้ในการแก้ปัญหาทางเรขาคณิตได้ ด้วยเรื่องนี้ ทำให้เขาก้าวหน้าไปมากในศาสตร์ของเรขาคณิต
สิ่งที่ควรจะสอน : คณิตศาสตร์ของจักรวรรดิอิสลามประสบความสำเร็จอย่างแม่นยำ ในช่วงต้นๆของศตวรรษที่ 9 ซาบิท อิบนุ กุรเราะฮฺ เป็นคนแรกที่ และหลังจากเขาตามมาด้วย อาบุ้ล วาฟา เจ้าของหนังสือในศตวรรษที่ 10 ที่ใช้พีชคณิตสร้างความก้าวหน้าให้เกิดขึ้นกับเรขาคณิตนำไปสู่การเป็นศาสตร์ที่แน่นอนและทำให้ดูง่ายขึ้น



  1. สิ่งที่สอน : ในช่วงศตวรรษที่ 17 ไอแซกนิวตันได้พัฒนาทฤษฎีบททวินาม (ทฤษฎีที่ว่าด้วยการกระจาย) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับการศึกษาในวิชาพีชคณิต
สิ่งที่ควรจะสอน :  นักคณิตศาสตร์มุสลิมหลายร้อยคนได้นำ “ทฤษฎีบททวินาม” มาใช้และทำให้สมบูรณ์ พวกเขาเริ่มนำมาใช้งานกับการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบของพีชคณิตในช่วงศตวรรษที่ 10 (หรือก่อนหน้านั้นอีก)



  1. สิ่งที่สอน : วิชาดาราศาสตร์โบราณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์ไม่ได้รับการปรับปรุงเลยในช่วงยุคกลางจนกระทั่งศตวรรษที่ 13 อัลฟอนโซ นักปราชญ์แห่งคัสไตล์ (สเปนกลาง) ได้คิดค้นตารางอัลฟอนไซน์ ซึ่งมีความแม่นยำมากกว่าของปโตเลมี
สิ่งที่ควรจะสอน :  นักดาราศาสตร์ชาวมุสลิมได้ทำการปรับปรุงอย่างมากมายบนผลการวิจัยของปโตเลมีตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 9 พวกเขาเป็นนักดาราศาสตร์กลุ่มแรกที่โต้แย้งความคิดโบราณของเขา ในนักวิจารณ์ของชาวกรีก พวกเขารวบรวมหลักฐานว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะและวิถีโคจรของโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นจะเป็นรูปวงรี พวกเขาผลิตตารางดาราศาสตร์และแผนภูมิดาวที่มีความแม่นยำสูงหลายร้อยตาราง ผลงานการคำนวณหลายๆชิ้นของพวกเขานั้นนับได้อย่างชัดเจนว่ามีความร่วมสมัย  ตารางอัลฟอนไซน์ เป็นสิ่งเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสำเนางานดาราศาสตร์ที่ส่งผ่านจักรวรรดิอิสลามในสเปนไปยังยุโรป ตัวอย่างเช่น ตารางโทเลโด เป็นต้น



  1. สิ่งที่สอน : นักวิชาการภาษาอังกฤษโรเจอร์เบคอน ในปี 1292 กล่าวถึงเลนส์แก้วสำหรับปรับปรุงวิสัยทัศน์ก่อน ในเวลาไล่เลี่ยกัน สามารถเห็นแว่นตาในการใช้งานทั้งในประเทศจีนและยุโรป
สิ่งที่ควรจะสอน : อิบนุ ฟิรนาส ของอิสลามสเปน เป็นผู้คิดค้นแว่นตาขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9 และแว่นตาได้ถูกผลิต และจำหน่ายทั่วสเปนมานานกว่าสองศตวรรษ สิ่งใดในเรื่องของแว่นตาที่   โรเจอร์เบคอนกล่าวถึงนั้น เป็นเพียงเทพนิยายในการทำงานของอัลฮัยตัม (ในปี 1039) ที่โรเจอร์เบคอนชอบเอามาอ้างอิงอยู่บ่อยๆเท่านั้นเอง



  1. สิ่งที่สอน :ดินปืนได้รับการพัฒนาในโลกตะวันตก เป็นผลมาจากการทำงานของโรเจอร์เบคอนในปี 1242 ดินปืนในอาวุธถูกใช้งานครั้งแรกเมื่อจีนยิงมันออกมาจากลำไผ่เพื่อพยายามที่จะขู่ทหารมองโกล พวกเขาผลิตมันขึ้นมาด้วยการเพิ่มกำมะถันและถ่านดินประสิวลงไป
 สิ่งที่ควรจะสอน : จีนพัฒนาดินประสิวขึ้นมาเพื่อใช้งานกับดอกไม้ไฟ และไม่รู้ยุทธวิธีอะไรทางการทหารที่เกี่ยวกับดินปืนเลย และพวกเขาก็ไม่ได้เป็นผู้นำสูตรมันมาด้วย การวิจัยของเรอินูอาด และ เฟ้บ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านักเคมีชาวมุสลิมเป็นผู้ริเริ่มสูตรดินปืนเป็นรายแรก นอกจากนี้นักประวัติศาสตร์เหล่านี้ยังอ้างหลักฐานอีกว่าชาวมุสลิมเป็นผู้พัฒนาอาวุธเป็นเจ้าแรก เป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่ากองทัพมุสลิมที่ใช้ระเบิดและอาวุธอื่นๆในการต่อสู้กับแฟรงค์เพื่อปกป้องดินแดนอัลเจอริคัสของพวกเขาในช่วงศตวรรษที่ 14 ฌอน แมททิส บ่งบอกว่าเจ้าเมืองชาวมุสลิมมีกอง วัตถุระเบิด, ปืน, ปืนใหญ่น้ำมันดิบ, อาวุธเชื้อเพลิง, ระเบิดกำมะถัน และปืนพกเก็บสะสมไว้ในคลังมานานกว่าทศวรรษ ก่อนที่อาวุธดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในยุโรป ปืนใหญ่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกเป็นข้อความภาษาอาหรับในปีคริสต์ศักราช 1300 โรเจอร์เบคอนเรียนรู้สูตรสำหรับดินปืนจากหนังสือภาษาละตินที่แปลมาจากภาษาอาหรับ เขาไม่ได้นำสร้างอะไรออกมาใหม่เลยในเรื่องนี้



  1. สิ่งที่สอน : เข็มทิศถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดยชาวจีนผู้ที่อาจจะเป็นคนแรกที่ใช้มันในวัตถุประสงค์เพื่อการเดินเรือ ในช่วงระหว่างปีคริสต์ศักราชที่ 1000 และ 1100 แต่อ้างอิงที่เก่าแก่ที่สุดในการใช้งานระบบนำทางนั้นเป็นของชาวอังกฤษ ชื่ออเล็กซานเดอร์ เน็คแคม (ปี 1157-1217)
 สิ่งที่ควรจะสอน : นักภูมิศาสตร์และนักเดินเรือชาวมุสลิมเรียนรู้เรื่องของเข็มแม่เหล็กมาจากจีนและเป็นคนแรกที่ใช้เข็มแม่เหล็กในการเดินเรือ พวกเขาคิดค้นเข็มทิศและถ่ายทอดความรู้ในการใช้งานกับการเดินเรือไปยังโลกตะวันตก นักเดินเรือชาวยุโรปอาศัยคนนำร่องชาวมุสลิมและเครื่องมือของพวกเขาในการสำรวจดินแดนใหม่ กุสตาฟเลอบอนอ้างว่าเข็มแม่เหล็กและเข็มทิศที่คิดค้นขึ้นมานั้นทั้งหมดเป็นความคิดของมุสลิมโดยสิ้นเชิง และกล่าวว่าจีนมีส่วนในเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งเน็คแคม และคนจีนต่างเรียนรู้มาจากพ่อค้าชาวมุสลิม เป็นน่าสังเกตว่าจีนได้มีการปรับปรุงความเชี่ยวชาญในด้านการเดินเรือของพวกเขาหลังจากที่พวกเขาเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับชาวมุสลิมในช่วงศตวรรษที่ 8

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่ไม่มีสอนในโรงเรียน ตอนที่ 1/4

1. สิ่งที่สอน : มีกล่าวถึงการบินครั้งแรกของมนุษย์ ว่าเกิดขึ้น โดย โรเจอร์ เบคอน ซึ่งเป็นผู้ร่างระบบกลไกการบิน เลโอนาร์โด ดาวินชี ก็เช่นกัน เขาได้รับการบอกในความรู้สึก ถึงการขนส่งทางอากาศ และร่างต้นแบบหลายๆแบบขึ้นมา
สิ่งที่ควรจะสอน : อิบนุ ฟิรนาส อิสลามในสเปน เป็นผู้คิดค้น สร้าง และทดสอบเครื่องที่ใช้บิน ในปีคริสต์ศักราชที่ 800 โรเจอร์ เบคอน เรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องที่ใช้บินจากตำราภาษาอาหรับของ อิบนุ ฟิรนาส สิ่งประดิษฐ์อันหลังนี้ห่างกัน 500 ปีและของ ดาวินชี ประมาณ 700 ปี

2. สิ่งที่สอน : กระจกเงาถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1291 ในเวนิซ
สิ่งที่ควรจะสอน : กระจกเงาถูกนำมาใช้ในอิสลามสเปน ในช่วงต้นๆ ของศตวรรษที่ 11     ชาวเวนิส เรียนรู้ศิลปะของการผลิตแก้วจากช่างฝีมือชาวซีเรียในช่วงศตวรรษที่ 9 และ 10
 

3. สิ่งที่สอน: จนกระทั่งในศตวรรษที่ 14 นาฬิกาที่มีอยู่เป็นเพียงนาฬิกาน้ำเท่านั้น  ในปี 1335 นาฬิกาเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นในมิลาน ประเทศ อิตาลี นี่น่าจะเป็นนาฬิกาที่ขับเคลื่อนด้วยตุ้มน้ำหนักเครื่องแรก
สิ่งที่ควรจะสอน : ความหลากหลายของนาฬิกาเครื่องจักรกลผลิตโดยวิศวกรมุสลิมชาวสเปน ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และความรู้นี้ถูกถ่ายทอดไปยังยุโรปผ่านการแปลเป็นภาษาละตินจากหนังสืออิสลามในเรื่องกลศาสตร์ นาฬิกาเหล่านี้เป็นชนิดที่ทำงานด้วยน้ำหนัก มีแบบและภาพบรรยายประกอบของระบบหมุนรอบแกนกลาง และมีเฟืองแต่ละส่วน นาฬิกาดังกล่าวมีเฟืองแกว่งเป็นปรอท ประเภทหลังนี้ถูกชาวยุโรปคัดล อกไปตรงๆในช่วงศตวรรษที่ 15 นอกจากนี้ วิลล์ ดูแรนท์ กล่าวว่า ในระหว่างศตวรรษที่ 9 อิบนุ ฟิรนาส อิสลามชาวสเปน ได้คิดค้นอุปกรณ์เหมือนนาฬิกาขึ้นมาซึ่งช่วยรักษาเวลาได้อย่างเที่ยงตรง ชาวมุสลิมยังสร้างนาฬิกาดาราศาสตร์ที่มีความแม่นยำสูงขึ้นมาอย่างหลากหลายสำหรับใช้ในหอดูดาวของพวกเขาอีกด้วย

4. สิ่งที่สอน ในศตวรรษที่ 17 ลูกตุ้มได้รับการพัฒนา โดย กาลิเลโอ ในช่วงวัยรุ่นของเขา  เขาสังเกตเห็นโคมระย้าโยกไปมาเมื่อถูกลมพัด เป็นผลให้เขากลับบ้านไปคิดค้นลูกตุ้มขึ้นมาใช้
สิ่งที่ควรจะสอน : ลูกตุ้มถูกค้นพบโดย อิบนุ ยูนุส อัล มัสรี่ ในช่วงศตวรรษที่ 10 เขาเป็นคนแรกที่ศึกษา และบันทึกข้อมูลไว้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวไกวแกว่งของมัน นักฟิสิกส์ชาวมุสลิมนำคุณประโยชน์ของมันมาใช้กับนาฬิกาในช่วงศตวรรษที่ 15
 

5. สิ่งที่สอน เครื่องพิมพ์และโรงพิมพ์ เกิดขึ้นในตะวันตกโดยโจฮัน กูเทนเบิร์กเยอรมนี ในช่วงศตวรรษที่ 15
สิ่งที่ควรจะสอน : ในปี 1454 กูเทนเบิร์กพัฒนาเครื่องพิมพ์ที่ทันสมัยที่สุดในยุคกลาง แต่ประเภททองเหลืองเคลื่อนย้ายได้นั้นถูกใช้ในอิสลามสเปนมาก่อนแล้วเป็น 100 ปี และที่นั่นคือที่สร้างอุปกรณ์การพิมพ์เครื่องแรกของชาวตะวันตก

6. สิ่งที่สอน การศึกษาค้นคว้าของไอแซกนิวตันในศตวรรษที่ 17 เกี่ยวกับเลนส์ แสง และปริซึม เป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในเรื่องแว่นตา
สิ่งที่ควรจะสอน : ในศตวรรษที่ 1 อัลฮัยตัมเป็นผู้กำหนดเกือบทุกสิ่งที่นิวตันพัฒนาเกี่ยวกับเรื่องเลนส์ก่อนจากนั้นหลายศตวรรษ และได้รับการยกย่องจากผู้ที่รอบรู้จำนวนมากว่าเป็น "ผู้สร้างแว่นตา" มีข้อสงสัยนิดหน่อยว่านิวตันคงได้รับอิทธิพลมาจากเขา อัลฮัยตัมเป็นนักฟิสิกส์แนวหน้าจากยุคกลาง ผลงานของเขาถูกนักวิชาการยุโรปจำนวนมากนำมาใช้ประโยชน์และใช้อ้างอิงในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17 มากกว่าผลงานของนิวตันกับกาลิเลโอรวมกันเสียอีก

7. สิ่งที่สอน ในช่วงศตวรรษที่17 ไอแซกนิวตันได้พบว่าแสงขาวประกอบด้วยรังสีต่างๆของแสงสี
สิ่งที่ควรจะสอน : อัลฮัยตั้ม (ในศตวรรษที่ 11) และกะม้าล อั้ด ดีน (ในศตวรรษที่ 14) เป็นผู้ค้นพบสิ่งนี้โดยสมบูรณ์ทั้งหมด นิวตันได้ทำการค้นพบต้นแบบบางอย่าง แต่ไม่ใช่หนึ่งจากสิ่งเหล่านี้เลย

8. สิ่งที่สอน แนวคิดในเรื่องขอบเขตธรรมชาติของสสารถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกโดยแอนทิโอนี่ ลา-วอยซิเออร์ ในช่วงศตวรรษที่ 18 เขาค้นพบว่า ถึงแม้ว่าสสารจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือรูปทรง แต่มวลของมันจะยังคงเหมือนเดิม ดังนั้น ยกตัวอย่างเช่น การที่น้ำถูกทำให้ร้อนจนกลายเป็นไอ เกลือละลายในน้ำ หรือในกรณีที่ชิ้นส่วนของไม้ถูกเผาไหม้กลายเป็นขี้เถ้าไป แต่มวลรวมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
สิ่งที่ควรจะสอน : หลักการของการค้นพบครั้งนี้ถูกบรรจงเขียนขึ้นมาหลายศตวรรษก่อนนักวิชาการสำคัญๆในอิสลามเปอร์เซีย อัล บิรูนี (1050) ลา-วอยซิเออร์ เป็นศิษย์ของนักเคมีและนักฟิสิกส์ชาวมุสลิมและมักจะใช้หนังสือของพวกเขาในอ้างอิงอยู่บ่อยครั้ง
 

9. สิ่งที่สอน ชาวกรีกเป็นนักพัฒนาวิชาตรีโกณมิติ
สิ่งที่ควรจะสอน : ตรีโกณมิติ ส่วนใหญ่ยังคงยังเป็นวิทยาศาสตร์เชิงทฤษฎีในหมู่ชาวกรีกอยู่ จนกระทั่งได้รับการพัฒนาไปถึงระดับที่สมบูรณ์แบบที่สุด​​โดยนักวิชาการมุสลิม อย่างไรก็ตามเราจะต้องให้ความน่าเชื่อถือแก่ อัล-บัตตอนี (อับดุลลอฮฺ มุฮัมหมัด อิบนุ ญาบิร อิบนุ ซินาน อัลร้อกกี อัลฮารอนี  ซอเบี้ยะอฺ อัลบัตตอนี – เป็นมุสลิมอาหรับ นักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์) คำอรรถาธิบายพื้นฐานฟังค์ชั่นของศาสตร์แขนงนี้ ไซน์ โคไซน์ และแทนเจนต์ ทั้งหมดมาจากภาษาอาหรับ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าผลงานดั้งเดิมของชาวกรีกที่อยู่ในตรีโกณมิตินั้นมีน้อยมาก

10. สิ่งที่สอน การใช้เศษส่วน ทศนิยม ในวิชาคณิตศาสตร์ได้รับการพัฒนาครั้งแรกโดยชาวดัตช์ ชื่อไซม่อน สตีเว่น ในปี 1589 เขาช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในด้านวิชาคณิตศาสตร์โดยการเปลี่ยนเศษส่วนยุ่งยากเช่น 1/2 ให้เป็นทศนิยม เช่น 0.5 เป็นต้น
สิ่งที่ควรจะสอน : นักคณิตศาสตร์มุสลิมเป็นคนแรกที่ใช้ทศนิยมแทนเศษส่วนบนเครื่องวัดขนาดใหญ่ หนังสือ "กุญแจสำคัญสู่คณิตศาสตร์" ของอัลคัชฮี เขียนในตอนเริ่มต้นของศตวรรษที่ 15 และเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการประยุกต์ใช้ระบบทศนิยม ไปสู่จำนวนเต็ม และ เศษส่วน ดังกล่าว เป็นไปได้สูงมากที่สตีเว่นนำเอาความคิดที่ได้จากการทำงานของอัลคัชฮีนี้ไปยังยุโรป