วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

บารอกะห์ ตอน 3

ท่านหญิง “บารอกะหฺ” คือใคร ???
(ตอนที่ 3/3)
  คืนหนึ่ง พวกมุชริกปิดถนนที่มุ่งหน้าไปที่บ้านอัรกอมที่ท่านนบีมุฮัมหมัดใช้รวมตัวบรรดาสหายของท่านเพื่อเผยแผ่คำสอนของอิสลามให้แก่พวกเขาบะรอกะฮฺมีข้อมูลเร่งด่วนจากท่านหญิงคอดียะฮฺที่จะต้องส่งไปยังท่านนบีมุฮัมหมัดเธอเสี่ยงชีวิตของเธอพยายามที่จะไปให้ถึงบ้านอัรกอมเมื่อเธอมาถึงและถ่ายทอดข้อความไปยังท่านนบีมุฮัมหมัดแล้วท่านยิ้มและกล่าวกับเธอว่า...
"ขอเธอจงได้รับความจำเริญอุมมุอัยมาน แน่นอน เธอเป็นเจ้าของสถานที่หนึ่งในสวรรค์แล้ว"เมื่ออุมมุอัยมานจากไป ท่านนบีมุฮัมหมัดมองไปที่สหายของท่าน และถามว่า"หากมีผู้ใดจากหมู่พวกท่าน ต้องการจะแต่งงานกับสตรีผู้หนึ่งจากบรรดาชาวสวรรค์แล้วละก็ เขาควรแต่งงานกับอุมมุอัยมาน”
สหายทั้งหมดยังคงเงียบและไม่ได้พูดอะไร อุมมุอัยมานเป็นคนไม่สวย และไม่ดึงดูดใจ ตอนนี้เธออายุประมาณห้าสิบปีแล้ว และดูค่อนข้างอ่อนแออย่างไรก็ดี เซดอิบนุ ฮะรีซะฮฺขันอาสา โดยออกมากล่าวว่า…
“ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺฉันจะแต่งงานกับอุมมุอัยมานขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าเธอดีกว่าผู้หญิงที่มีความสง่าและความงดงามเสียอีก”
  เซด และอุมมุอัยมานจึงแต่งงานกันและมีลูกชายหนึ่งคนที่พวกเขาตั้งชื่อว่าอุซามะฮฺท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺรักอุซามะฮฺดุจดังลูกชายของท่านเอง บ่อยครั้ง ท่านมักจะเล่นกับเขาจูบเขาและป้อนอาหารให้เขาด้วยมือของท่านเอง บรรดามุสลิมจะกล่าวว่า "เขาเป็นบุตรชายที่รักของผู้ที่เป็นที่รัก” ตั้งแต่เยาว์วัย อุซามะฮฺอุทิศตนทำงานศาสนาอย่างโดดเด่นและต่อมาก็ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานหนักๆแทนท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ
  เมื่อท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ อพยพไปมะดีนะฮฺเขาทิ้งอุมมุอัยมานไว้ที่มักกะฮฺเพื่อดูแลงานพิเศษบางอย่างในบ้านของเขา ในที่สุดเธอก็อพยพตามไปมะดีนะฮฺด้วยตัวของเธอเอง การเดินทางเป็นไปอย่างยาวนานและยากลำบาก เธอเดินเท้าผ่านทะเลทรายและภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ความร้อนที่แผดเผา และพายุกระหน่ำได้อำพรางหนทางของเธอ แต่เธอก็ไม่ลดละไม่ย่นย่อเผยให้เห็นความรักความผูกพันที่ลึกซึ้งของเธอที่มีต่อท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺเมื่อเธอมาถึงมะดีนะฮฺเท้าของเธอเจ็บและบวมและใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยทรายและฝุ่นละออง
"ยา...อุมมุอัยมาน ยา...อุมมีย์ (โอ้ อุมมุอัยมาน แม่ของฉัน) แท้จริงสวรรค์เป็นสถานที่สำหรับเธอ!"ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺอุทานเมื่อท่านเห็นเธอ ท่านเช็ดใบหน้าและตาของเธอ ท่านนวดเท้าให้เธอและลูบไหล่ของเธอด้วยมือที่อ่อนโยน และมีเมตตาของท่าน
  ในเมืองมะดีนะฮฺอุมมุอัยมานมีบทบาทอย่างเต็มที่ในกิจการของมุสลิม ที่อุฮุด เธอแจกจ่ายน้ำให้แก่ผู้ที่กระหายและมีทีท่าว่าได้รับบาดเจ็บ เธอได้ร่วมเดินทางไปกับท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺในกองทัพที่ไปยังที่ต่างๆ เช่น คอยบัรและฮุนัยนฺ เป็นต้น
  อัยมาน บุตรของเธอเป็นซอฮาบะฮฺผู้อุทิศตนของท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺเขาชะฮีดที่ฮุนัยนฺในปีที่แปดหลังฮิจญเราะฮฺเซด ผู้เป็นสามีของบะรอกะฮฺถูกสังหารในการรบที่มุตะฮฺในซีเรียหลังจากที่ได้สละทั้งชีวิตของเขาเพื่อรับใช้ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺอิสลามในเวลานี้บะรอกะฮฺอายุประมาณเจ็ดสิบปีแล้ว และใช้เวลาส่วนใหญ่ของเธออยู่แต่ในบ้านท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺพร้อมด้วยท่านอบูบักรฺและท่านอุมัรฺไปเยี่ยมเธออยู่บ่อยๆ และถามเธอว่า “ยา อุมมีย์ สบายดีไหม?”และเธอจะตอบว่า "สบายดีค่ะ ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺตราบใดที่ศาสนาอิสลามยังคงอยู่"
  บะรอกะฮฺมีความเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องที่เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ได้ใกล้ชิดกับท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺตลอดชีวิตของท่านตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งเสียชีวิต ชีวิตของเธอในบ้านของท่านศาสดาเป็นหนึ่งในการเสียสละแบบไม่คำนึงถึงตัวเอง เธอยังคงการอุทิศตนอย่างลึกล้ำทุ่มเทให้กับท่านศาสดาผู้มีความประเสริฐอ่อนโยนและห่วงใย ที่เหนือสิ่งอื่นใดคือความจงรักภักดีของเธอที่มีต่ออิสลามเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งและมั่นคง เธอเสียชีวิตในยุคการปกครองของท่านอุษมานและมั่นใจได้ว่าเธอมีที่อยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว
  บะรอกะฮฺ เป็นที่รู้จักกันดีว่าคือท่านหญิง อุมมุ อัยมาน  เธอเป็นสตรีคนเดียว และเป็นหนึ่งจากบุคคลไม่กี่คนที่ได้รับเกียรติอันพิเศษในการรู้เห็นเป็นพยานกับทุกขณะชีวิตของท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺตั้งแต่ก่อนการถือกำเนิดของท่าน ผ่านวัยเด็กของท่าน– ผ่านชีวิตหนุ่มสาวและตลอดวัยของการเป็นผู้ใหญ่ของท่าน–จนกระทั่ง ท่านจากไป
แน่นอนที่สุด มันช่างเป็นเกียรติที่แสนจะพิเศษ !!!

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

บารอกะห์ ตอน 2



ท่านหญิง “บารอกะหฺ” คือใคร ???
(ตอนที่ 2/3)
     กองคาราวานเดินทางด้วยย่างก้าวที่รวดเร็ว. บารอกะหฺพยายามปลอบใจอามีนะหฺเพื่อเห็นแก่ลูกของนาง และส่วนใหญ่เด็กชายมุฮัมมัดนอนหลับโดยมือของเขากอดรอบคอของบารอกะหฺไว้.
กองคาราวานใช้เวลาสิบวันในการเดินทางถึงมะดีนะหฺ.เด็กชายมุฮัมมัดถูกฝากไว้กับบรรดาน้าชาย ของ บานู นัจญาร ขณะที่อามีนะหฺไปเยี่ยมหลุมฝังศพของอับดุลลอฮฺ. ทุกๆวันของช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์นางอยู่กับหลุมฝังศพ.นางถูกกลืนโดยความโศกเศร้า.
ระหว่างทางกลับมักกะหฺ. อามีนะหฺล้มป่วยอย่างหนักเพราะไข้.ครึ่งทางระหว่างมะดีนะหฺและมักกะหฺ, ณ สถานที่หนึ่งเรียกว่า อัล-อับวา , พวกเขาหยุดพัก. สุขภาพของอามีนะหฺทรุดลงอย่างต่อเนื่อง. คืนหนึ่งที่มืดสนิท,ไข้ของนางขึ้นสูงมาก.อาการไข้ขึ้นสู่ศีรษะของนาง และนางได้เรียกหาบารอกะหฺด้วยเสียงที่ทำให้ตกใจ.
บารอกะหฺเล่าว่า: นางได้กระซิบที่หูของฉันว่า: ‘โอ้ บารอกะหฺ, ฉันจะต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้านี้.ฉันขอมอบลูกชายของฉันมุฮัมมัดให้อยู่ในการดูแลของเธอ.เขาสูญเสียพ่อของเขาเมื่อเขายังอยู่ในครรภ์ของฉัน.ในตอนนี้เขากำลังจะสูญเสียแม่ของเขาไปต่อหน้าต่อตาของเขา. จงเป็นแม่ให้เขา,บารอกะหฺ,และจงอย่าทิ้งเขาเป็นอันขาด’.
“หัวใจของฉันแตกสลายและฉันเริ่มสะอื้นและร้องไห้ออกมาในที่สุด.เด็กเริ่มกังวลจากการร้องไห้ของฉันและเริ่มร้องไห้.เขากระโจนเข้าหาอ้อมกอดแม่ของเขาและกอดรอบคอนางไว้แน่น.นางได้ส่งเสียงครวญขึ้นครั้งหนึ่งครั้งสุดท้าย และเงียบไปตลอดกาล.”
บารอกะหฺร้องไห้.เธอร้องไห้อย่างขมขื่น เธอขุดหลุมฝังศพในทรายด้วยกับมือของเธอเองและฝังอามีนะหฺลงไป,เธอทำให้หลุมศพชุ่มช่ำด้วยน้ำตาเท่าที่มีเหลือในหัวใจ. บารอกะหฺกลับมาพร้อมกับเด็กกำพร้ายังมักกะหฺและมอบเขาสู่การดูแลของปู่ของเขา. เธอก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั่นด้วยเพื่อดูแลเขา. เมื่ออับดุลมุตตอลิบได้เสียชีวิตลงสองปีหลังจากนั้น, เธอไปพร้อมกับเขายังบ้านของลุงของเขาอับดุลมุตตอลิบ และดูแลเขาในเรื่องที่จำเป็นต่อเขาต่อไปจนกระทั่งเขาเติบโตและได้แต่งงานกับท่านหญิงคอดิญะหฺ.
หลังจากนั้นบารอกะหฺอาศัยอยู่กับมุฮัมมัด(ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน)และคอดิญะหฺ(ขออัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยต่อนาง).ในบ้านของคอดิญะหฺ(ขออัลลอฮฺพึงพอใจนาง). “ฉันไม่เคยที่จะจากเขาและเขาไม่เคยที่จะจากฉัน” บารอกะหฺกล่าว.
วันหนึ่งมุฮัมมัด ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน ได้เรียกหานางและกล่าวว่า “ยา อุมมาฮฺ !” (ท่านมักจะเรียกนางว่า “แม่” เสมอ) “ในตอนนี้ฉันก็แต่งงานแล้วแต่ท่านยังไม่ได้แต่งงานเลย. ท่านคิดอย่างไรหากมีคนมาในตอนนี้เพื่อมาขอท่านแต่งงาน?”  บารอกะหฺมองไปยังมุฮัมมัด(ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน) และกล่าวว่า “ฉันจะไม่ทิ้งท่านไป. แม่คนหนึ่งจะทิ้งลูกของนางไปได้กระนั้นหรือ?” มุฮัมมัด(ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน)ยิ้มและจูบลงบนศีรษะของนาง. ท่านมองไปที่ภรรยาของท่าน ท่านหญิงคอดีญะหฺ(ขออัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยต่อนาง) และกล่าวว่า “นี่คือบารอกะหฺ. เธอเป็นแม่ของฉันหลังจากแม้แท้ๆของฉัน เธอคือญาติที่เหลือคนเดียวของฉัน”
บารอกะหฺมองไปยังท่านหญิงคอดิญะหฺ(ขออัลลอฮฺทรงพึงพอพระทัยต่อนาง)ผู้ซึ่งกล่าวกับนางว่า “บารอกะหฺ,ท่านได้เสียสละวัยสาวของท่านเพื่อมุฮัมมัด(ขออัลลอฮฺทรงประทานพรและความสันติสุขแด่ท่าน) ในตอนนี้เขาต้องการจะใช้คืนบางอย่างที่เป็นหน้าที่จำเป็นบนตัวเขาให้แก่ท่าน. เพื่อตัวท่านเองและเพื่อเขา,จงตกลงแต่งงานเถิด ก่อนที่ความชราจะมาเยือน”
“ฉันควรจะแต่งงานกับผู้ใดดี,โอท่านหญิง?” บารอกะหฺถาม
“ตอนนี้ อุบัยดฺ อิบนุ เซด จากเผ่า คอซรอจ แห่งมะดีนะหฺอยู่นี่แล้วไง เขามาที่นี่เพื่อขอให้เธอยื่นมือของเธอในการแต่งงาน คิดว่าทำเพื่อฉันก็แล้วกัน,จงอย่าปฏิเสธเลย ”
บารอกะหฺตอบตกลง.เธอได้แต่งงานกับอุบัยดฺ อิบนุ ซัยดฺ และไปมะดีนะหฺพร้อมกับเขา. ณ ที่นั่นเธอให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเธอเรียกเขาว่า “อัยมัน” และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนต่างเรียกเธอว่า “อุมมุอัยมัน” มารดาของอัยมัน.
อย่างไรก็ตาม การแต่งงานของเธอไม่ยั่งยืน สามีของเธอได้เสียชีวิตลง และเธอก็กลับมาใช้ชีวิตที่มักกะหฺอีกครั้งกับ มุฮัมมัด “บุตรชาย” ของเธอ ในบ้านของท่านหญิงคอดิญะหฺ. อาศัยอยู่ในครอบครัวเดียวกันซึ่ง ในตอนนั้นมี อลี อิบนุ อบีตอลิบ,ฮินดฺ(ลูกสาวของคอดิยะหฺจากสามีคนแรก),และ ซัยดฺ อิบนุ ฮาริษะหฺ อยู่ด้วย.
เซดเป็นชาวอาหรับจากเผ่าบนูกัลบฺ ซึ่งถูกจับมาตั้งแต่เด็กและถูกนำไปขายในตลาดทาส เขาถูกซื้อมาโดยหลานชายของท่านหญิงคอดียะฮฺและให้ไปช่วยทำงานบ้านของท่านหญิงคอดียะฮฺเซดกลายเป็นคนสนิทกับท่านนบีมุฮัมหมัด และอุทิศตนในการรับใช้ท่าน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเหมือนดั่งบุตรกับบิดา อันที่จริงเมื่อพ่อเซดมาถึงนครมักกะฮฺเพื่อตามหาเขา ท่านนบีมุฮัมหมัดให้เซดเลือกเองว่าจะไปอยู่กับพ่อของเขาหรือจะอยู่กับท่านคำตอบของเซดที่มีต่อพ่อของเขาคือ
 “ผมจะไม่ไปจากชายผู้นี้ เขาปฏิบัติต่อผมอย่างประเสริฐ เหมือนกับพ่อปฏิบัติต่อลูกชายของเขา ไม่มีแม้แต่วันเดียวที่ผมจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นทาส เขาดูแลผมอย่างดี เขามีเมตตา และมีความรักต่อผมและมอบความเพลิดเพลิน และความสุขให้แก่ผม เขาเป็นผู้ชายที่ประเสริฐสุดและเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งถูกสร้างผมจะทิ้งเขาและไปกับพ่อได้อย่างไร? ... ผมจะไม่ทิ้งเขาไปเด็ดขาด”
ต่อมาในที่ชุมนุม ท่านนบีมุฮัมหมัดประกาศให้อิสรภาพแก่เซดอย่างไรก็ตามเซดก็ยังคงอาศัยอยู่กับท่าน เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของท่าน และอุทิศตนเพื่อรับใช้ท่าน
เมื่อท่านนบีมุฮัมหมัดได้รับแต่งตั้งให้เป็นนบีบะรอกะฮฺ และเซด จึงเป็นคนกลุ่มแรกที่ศรัทธาในสาสน์ที่ท่านเผยแผ่ พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานร่วมกับพี่น้องมุสลิมในช่วงต้นๆของการทารุณกรรมของพวกกุเรชที่ทำกับพวกเขา
บะรอกะฮฺ และเซดให้ความช่วยเหลือที่ล้ำค่าต่อภารกิจของท่านนบีมุฮัมหมัดพวกเขาทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของการสืบหาข่าวกรอง ยอมเปิดเผยตัวเองให้ต้องถูกทารุณกรรม และถูกลงโทษจากพวกกุเรชและเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเพื่อที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแผนการ และการคบคิดกันของพวกมุชริกีน

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

บารอกะหุ ตอน 1

 ท่านหญิง “บารอกะหฺ” คือใคร ???
(ตอนที่ 1/3)
เด็กสาวชาวอบิสิเนียนคนหนึ่งลงเอยด้วยการถูกขายในมักกะหฺ. ยังมีอีกหลายๆคนที่เหมือนเธอ,ทั้งเด็กชายและเด็กหญิง,ทั้งอาหรับและไม่ใช่อาหรับ, ผู้ซึ่งถูกจับตัวและถูกนำมาที่ตลาดทาสของเมืองนี้ เพื่อขาย.
โชคชะตาอันน่ากลัวข้างหน้ารอคอยบางคนของพวกเขาอยู่ บรรดาผู้ซึ่งตกไปอยู่ในเงื้อมมือของนายทาสชายและหญิงที่โหดร้าย ผู้ซึ่งจะใช้แรงงานพวกเขาอย่างเต็มที่ และจะปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความแข็งกระด้างและหยาบคาย. แต่มีบางคนในสภาพไม่เป็นมนุษย์นี้ ดูเหมือนจะโชคดีกว่า. พวกเขาถูกนำตัวไปอยู่ในบ้านที่มีความสุภาพและผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยพวกเขา.
บารอกะหฺ, หญิงสาวอบิสิเนียน คือหนึ่งในผู้ที่โชคดีที่สุด เธอได้รับการช่วยเหลือโดย อับดุลลอฮฺ ผู้มีความเอื้อเฟื้อและใจดี,ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของอับดุลมุตตอลิบ. เธอกลายเป็นคนรับใช้เพียงคนเดียวในครอบครัวของเขาและเมื่อเขาแต่งงานกับ อามีนะหฺ เธอก็ช่วยดูแลงานการของอามีนะหฺเช่นกัน.
สองสัปดาห์หลังจากทั้งคู่แต่งงานกัน,ตามรายงานของบารอกะหฺ,บิดาของอับดุลลอฮฺมาที่บ้านของพวกเขาและสั่งใช้บุตรชายให้ออกไปกับกองคาราวานค้าขาย ซึ่งจะเดินทางไปซีเรีย. อามีนะหฺรู้เป็นสึกกังวลอย่างมากและร้องไห้ : “ช่างน่าแปลกใจ! ,ช่างน่าแปลกใจเสียจริง! สามีของฉันจะออกเดินทางไปค้าขายที่ซีเรียได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่ฉันยังอยู่ในสภาพเป็นเจ้าสาวของเขา และทั้งๆที่ร่องรอยของ เฮนน่า ยังหลงเหลืออยู่บนมือของฉัน.”
การจากไปของอับดุลลอฮฺเป็นสิ่งที่ทำให้ใจสลาย.ด้วยความปวดร้าว, อามีนะหฺหมดสติ. หลังจากที่เขาละจากไป, บารอกะหฺ กล่าวว่า : “เมื่อฉันพบว่าอามีนะหฺหมดสติไป,ฉันตะโกนออกมาด้วยเสียงดังเพราะความเครียดและเจ็บปวดว่า: ‘โอ้ท่านหญิงของฉัน ! ’ อามีนะหฺลืมตาของเธอขึ้นและมองฉันทั้งน้ำตาที่ไหลรินบนใบหน้าของเธอ.เธอข่มการคร่ำครวญไว้แล้วกล่าวว่า : “ช่วยพาฉันไปที่ที่นอนหน่อยเถอะ บารอกะหฺ”
อามีนะหฺอยู่ติดแต่ที่นอนเป็นระยะเวลานาน.นางไม่คุยกับใคร.ไม่แม้กระทั่งมองคนอื่นๆที่มาเยี่ยมนาง ยกเว้นอับดุลมุตตอลิบ,ชายชราผู้สูงศักดิ์และเป็นสุภาพบุรุษ.  “สองเดือนหลังจากที่หลังจากการละจากไปของอับดุลลอฮฺ,อามีนะหฺเรียกฉันตอนรุ่งสางและใบหน้าของนางส่องประกายด้วยความปิติ,นางได้กล่าวกับฉันว่า :
“โอ้ บารอกะหฺ !ฉันได้เห็นฝันที่แปลกประหลาด” “เป็นเรื่องที่ดี,โอ้ นายหญิง,” ฉันกล่าว.
 ฉันเห็นแสงออกมาจากท้องของฉันแล้วส่องแสงสว่างไปทั่วบรรดาภูเขา,เนินเขาและบรรดาหุบเขารอบๆมักกะหฺทั้งหมด” “ท่านรู้สึกว่าตั้งครรภ์หรือปล่าว,โอ้นายหญิงของข้า?”
“ใช่แล้ว,บารอกะหฺ” นางตอบ. “แต่ฉันไม่เห็นรู้สึกไม่สบายตัวเหมือนกับที่ผู้หญิงอื่นๆเค้ารู้สึก.” “ท่านจะได้ให้กำเนิดเด็กผู้ซึ่งจะนำพาซึ่งความดีงามมาเป็นแน่.” ฉันกล่าว.
ตราบเท่าที่อับดุลลอฮฺยังอยู่ห่างไกล,อามีนะหฺยังคงอยู่ในความโศกเศร้าและใจลอย.บารอกะหฺยังคงอยู่เคียงข้างนางและพยายามปลอบใจนางและให้กำลังใจนางด้วยการพูดคุยและเล่าเรื่องต่างๆให้นางฟัง. อย่างไรก็ตามอามีนะหฺได้รับความเครียดมากขึ้นเมื่ออับดุลมุตตอลิบเข้ามาและแจ้งว่านางจะต้องออกจากบ้านแล้วไปยังภูเขาเหมือนกับที่บรรดาชาวมักกะหฺคนอื่นๆทำ เนื่องด้วยการโจมตีที่กระชั้นเข้ามาสู่เมือง โดยผู้ครองเมืองเยเมนผู้ซึ่งมีนามว่า อับรอฮะหฺ. อามีนะหฺกล่าวกับเขาว่านางถูกความทุกข์ถาโถมเข้าใส่และอ่อนแอเกินไปที่จะออกไปยังภูเขา แต่นางก็ยังยืนกรานเรื่องนี้ด้วยว่าอับรอฮะหฺไม่สามารถเข้ามาในมักกะหฺเพื่อทำลายกะอฺบะหฺได้อย่างแน่นอน เพราะมันถูกรักษาโดยผู้ทรงอำนาจ.อับดุลมุตตอลิบเริ่มกระวนกระวายใจทว่าไม่มีท่าทีของความหวาดกลัวจากใบหน้าของอามีนะหฺแม้แต่เล็กน้อย.ความมั่นใจของนางในเรื่องที่ว่ากะอฺบะหฺจะไม่ถูกทำอันตรายเด็ดขาดนั้นได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน.กองทัพของอับรอฮะหฺพร้อมด้วยช้างที่อยู่ในแนวหน้าถูกทำลายราบก่อนหน้าที่มันจะได้เข้าเมืองมักกะหฺ.
ทั้งกลางวันและกลางคืน,บารอกะหฺอยู่เคียงข้างอามีนะหฺ.เธอกล่าวว่า “ฉันจะนอนอยู่ปลายเตียงและจะได้ยินเสียงพึมพำถึงสามีที่ไม่อยู่ของนางในตอนกลางคืน.เสียงของนางจะทำให้ฉันตื่นขึ้นและฉันจะคอยปลอบและให้กำลังใจนาง”
หัวแถวของคาราวานจากซีเรียกลับมาแล้ว และได้รับการต้อนรับอย่างปลื้มปีติดีใจจากครอบครัวต่างๆในนครมักกะฮฺ บะรอกะฮฺแอบไปที่บ้านของอับดุลมุตตอลิบเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับอับดุลลอฮฺ แต่ไม่มีข่าวคราวของเขาเลย เธอกลับไปแต่ไม่ได้บอกเธอสิ่งที่เธอได้พบหรือได้ยินมา เพราะอาจจะทำให้อามินะฮฺต้องทุกข์ทรมานเข้าไปอีก คาราวานทั้งหมดเข้ามาจนครบ แต่ไม่มีอับดุลลอฮฺ
ต่อมา เมื่อมีข่าวมาจากมาดีนะฮฺว่าอับดุลลอฮฺเพิ่งเสียชีวิตไป บะรอกะฮฺอยู่ที่บ้านอับดุลมุตตอลิบ เธอกล่าวว่า “ฉันกรีดร้องเมื่อฉันได้ยินข่าว ฉันไม่รู้ว่าทำอะไรไปบ้างหลังจากที่ได้ยินข่าว นอกจากวิ่งไปบ้านอามินะฮฺ ฉันตะโกน คร่ำครวญ ต่อการจากไปของอับดุลลอฮฺที่ไม่มีวันกลับ เสียใจให้กับคนรักที่เรารอคอยมาอย่างยาวนาน คร่ำครวญให้กับชายหนุ่มที่งดงามที่สุดของมักกะฮฺ สำหรับอับดุลลอฮฺ เขาคือความภาคภูมิใจของชาวกุเรช
เมื่ออามินะฮฺได้ยินข่าวอันเจ็บปวด เธอเป็นลมสิ้นสติ และฉันอยู่ข้างเตียงของนางในขณะที่นางอยู่ในสภาพระหว่างความเป็น และความตาย ไม่มีใครอื่น นอกจากฉันในบ้านของอามินะฮฺ ฉันพยาบาลนาง และดูแลนางในระหว่างวัน และตลอดทั้งคืนจนกระทั่งนางให้กำเนิดบุตรของนาง “มุฮัมมัด” ในคืนที่ชั้นฟ้างามอร่ามด้วยแสงจากอัลลอฮฺ”
เมื่อมุฮัมมัดได้ถือกำเนิดขึ้นมา,บารอกะหฺคือคนแรกที่ได้อุ้มเขาในอ้อมกอด.ปู่ของเขามาและนำเขาไปยังกะอฺบะหฺและฉลองการถือกำเนิดของเขากับชาวมักกะหฺทั้งหมด. บารอกะหฺอยู่กับอามีนะหฺขณะที่มุฮัมมัดถูกส่งตัวไปกับ ฮาลีมะหฺ ผู้ซึ่งดูแลเขาท่ามกลางบรรยากาศของความสดชื่นในทะเลทรายโล่ง.เมื่อครบกำหนด 5 ปี , เขาถูกนำกลับมาที่มักกะหฺและอามีนะหฺรับเขาด้วยความนุ่มนวลและความรัก และบารอกะหฺได้ต้อนรับเขา “ด้วยความดีใจ, ด้วยความปรารถนาและความชื่นชม”.
เมื่อมุฮัมมัดอายุได้หกปี,มารดาของเขาตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพของอับดุลลอฮฺสามีของนางที่มะดีนะหฺ. ทั้งบารอกะหฺและอับดุลมุตตอลิบพยายามที่จะห้ามปรามนาง. อย่างไรก็ตามอามีนะหฺได้ตั้งใจมั่นไปแล้ว. ดังนั้น ในเช้าวันหนึ่ง อามีนะหฺ,มุฮัมมัดและบารอกะหฺได้เริ่มออกเดินทาง. โดยนั่งเบียดกันในสัปคับ(หอดา Hawdaj ที่นั่ง มีม่านและหลังคา บนหลังอูฐ ) เล็กๆบนหลังอูฐตัวใหญ่ตัวหนึ่ง, เป็นส่วนหนึ่งจากกองคาราวานขนาดใหญ่ที่มุ่งหน้าไปซีเรีย. เพื่อที่จะปกป้องเด็กที่อ่อนโยนจากความเจ็บปวดและความกังวล, นางไม่ได้บอกให้มุฮัมมัดทราบว่านางกำลังจะไปเยี่ยมสุสานของพ่อของเขา.

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อ่านไปคิดไป





เรื่อง: กรุณาอ่านสิ่งนี้ แล้วแบ่งปันความคิดกัน
นักเขียนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง นั่งอยู่ในห้องทำงานของเขา เขาหยิบปากกาของเขาขึ้นมา แล้วเริ่มเขียน...
** ปีที่แล้ว หมอทำการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีของผมออก ผมต้องนอนอยู่บนเตียงเนื่องจากการผ่าตัดนี้เป็นเวลานานมาก
** ในปีเดียวกัน ผมอายุได้ 60 ปีแล้ว และจึงต้องหยุดทำงานที่ตนเองชื่นชอบ ผมใช้เวลาในชีวิตของผมไปกับสำนักพิมพ์นี้ นานถึง 30 ปีทีเดียว
** ในปีเดียวกันนี้ ผมต้องมาเศร้าโศกกับการตายของพ่อผม
** และในปีเดียวกัน ลูกชายของผมต้องพลาดจากการสอบเข้าโรงเรียนแพทย์ของเขา เพราะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเป็นเวลาหลายวัน รถที่เสียหายไปก็เป็นอีกหนึ่งการสูญเสีย
ในตอนท้ายเขาเขียนว่า: อนิจจา! มันช่างเป็นปีที่ไม่ดีเอาเลย !!
...เมื่อภรรยาของนักเขียนคนนี้เข้ามาในห้อง เธอพบว่าสามีกำลังดูเศร้าซึม จมลึกอยู่ในความคิดของเขา เธออ่านสิ่งที่ถูกเขียนบนกระดาษ จากทางด้านหลังของเขา เธอออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ และกลับมาพร้อมกับกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง และวางมันลงที่ข้างๆ ของงานเขียนของสามีเธอ
เมื่อนักเขียนผู้นี้เห็นกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง เขาจึงอ่านมัน...ในนั้นเขียนว่า...
** เมื่อปีที่แล้ว ผมได้กำจัดถุงน้ำดีของผมออกไปจนได้ เนื่องจากผมต้องทนเจ็บปวดเพราะมันอยู่เป็นเวลาหลายปี
** ตอนนี้ผมอายุได้ 60 ปีแล้ว ผมยังมีสุขภาพที่ดี และได้ลาออกจากงาน ตอนนี้ผมสามารถใช้เวลาของผมเขียนสิ่งที่ดีกว่า ที่ให้ทั้งความสุข และมีความสำคัญมากกว่าด้วย
** ในปีเดียวกัน พ่อของผมได้กลับไปพบกับผู้สร้างของเขาตอนอายุ 95 โดยไม่ทุกข์ทรมาน และไม่ต้องเป็นภาระให้ใครต้องมาคอยดูแล
** ในปีเดียวกัน อัลลอฮฺทรงประทานชีวิตใหม่ให้กับลูกชายของผม รถของผมเสียหายทั้งคัน แต่ลูกชายของผมกลับมีชีวิตอยู่โดยไม่มีความพิการใดๆ
ในตอนท้ายเธอเขียน : ปีนี้ถือเป็นความเมตตาอย่างใหญ่หลวงจากอัลลอฮฺจริงๆ และอินชาอัลลอฮฺมันจะผ่านไปด้วยดี !!
ดูสิ !!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ด้วยกับมุมมองที่ต่างกัน ถ้าเราไตร่ตรองทุกสิ่งมากกว่านี้ด้วยมุมมองแบบนี้ เราก็จะกลายเป็นผู้ที่รู้จักขอบคุณผู้ทรงอำนาจอย่างแท้จริง
คติเตือนใจ ในชีวิตประจำวันของเรานั้น เราจะต้องเข้าใจว่าความสุขไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกขอบคุณ แต่การรู้จักขอบคุณต่างหากที่ทำให้เรามีความสุข และสิ่งที่เราจะต้องรู้สึกขอบคุณนั้นจะมีมาเสมอๆ

ด้วยสลามและดุอาอฺ

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

Ar-Rahman Ar-Raheem 3

Ar-Rahman Ar-Raheem (ตอนที่ 3)
ความแตกต่างระหว่าง เราะฮฺมาน และ รอฮีม
อัรเราะฮฺมานเป็นนามที่ชี้ไปสู่คุณลักษณะของแก่นแท้ของอัลลอฮฺ และอัรรอฮีมเป็นนามที่ชี้ไปสู่คุณลักษณะของการกระทำ  เราะฮฺมาน คือผู้ที่ครอบครองความเมตตา และ
รอฮีม คือ ผู้ที่ประทานความเมตตานั้นให้.
อิบนุลกอยยิม กล่าวว่า "อัรเราะฮฺมานบ่งชี้ไปสู่คุณลักษณะที่มีปรากฏอยู่ในตัวของพระองค์ และอัรรอฮีมบ่งชี้ถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้รับของความเมตตา หากท่านต้องการที่จะเข้าใจสิ่งนี้ จงใคร่ครวญคำตรัสของพระองค์ที่ว่า
هُوَالَّذِىْ يُصَلِّىْ عَلَيْكُمْ وَمَلٰۤئِكَتُهٗ لِيُخْرِجَكُمْ مِّنَ الظُّلُمٰتِ اِلَى النُّوْرِۚ   وَكَانَ بِالْـمُؤْمِنِيْنَ رَحِيْمًا ۝
"พระองค์คือผู้ทรงประทานความเมตตาให้แก่พวกเจ้าและมลาอิกะหฺของพระองค์ด้วย เพื่อพระองค์จะทรงนำพวกเจ้าออกจากความมืดทึบทั้งหลายสู่ความสว่าง และพระองค์ทรงเมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาเสมอ"  (อัลอะฮฺซาบ 43)
الرَّحْمٰنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوٰى ۝
"ผู้ทรงกรุณาปรานีทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์"   (ตอฮา5)
ไม่มีแม้เพียงสักครั้งที่มีการกล่าวว่า พระองค์ทรง เราะฮฺมาน กับพวกเขา เรื่องนี้พิสูจน์ว่า อัรเราะฮฺมาน พาดพิงเกี่ยวกับผู้ที่มีลักษณะเมตตา ส่วน อัรรอฮีม คือผู้ที่ประทานความเมตตานั้น"

อธิบายอีกแบบหนึ่งคือ
อัรเราะฮฺมานคือผู้ที่มีความเมตตาซึ่งขยายวงกว้างไปสู่สิ่งถูกสร้างทั้งมวล ทั้งในโลกนี้และกับผู้ศรัทธาในปรโลก  ดังนั้นพระองค์ทรงเมตตาทั้งกับผู้ศรัทธาและกับผู้ที่ไม่ศรัทธาทั้งหลาย กับผู้ที่เป็นมิตรและกับศัตรู  เราะฮฺมานคือประเภททั่วไปของความเมตตา
ในอีกด้านหนึ่งอัรรอฮีม คือผู้ที่มีความเมตตาซึ่งแผ่ขยายไปสู่ผู้ศรัทธาโดยเฉพาะทั้งในโลกนี้และในปรโลก.
นี่คือประเภทที่พิเศษของความเมตตาแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย และมันเป็นระดับที่สูงส่งของความเมตตา. ความเมตตาประเภทนี้เป็นความเมตตาซึ่งอัลลอฮฺทรงดูแลกรณีย์ต่างๆของผู้ศรัทธาอย่างเป็นภายใน ในแง่ของการดูแลสภาพของหัวใจของพวกเขา บำรุงอีหม่านและตบแต่งมันให้พวกเขา ประทานเตาฟีกให้พวกเขา ฯลฯ นี่อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเหตุใด
รอฮีม จึงถูกพูดถึงเป็นสองเท่าของ เราะฮฺมะหฺ  เพราะว่ามันมีขั้นของความเมตตาที่สูงกว่า และในความเป็นจริงมันถูกใช้โดยอัลลอฮฺมากกว่าประเภททั่วไปของความเมตตา
 ที่กล่าวมาคือความเข้าใจของบรรดาอุลามาอฺส่วนมาก

ผลของการได้รู้ว่าอัลลอฮฺทรงเป็นทั้งอัรเราะฮฺมานและอัรรอฮีม
หากคุณรู้ว่าอัลลอฮฺทรงเมตตาต่อคุณ สิ่งนี้จะต้องส่งผลต่อชีวิตของคุณ
1.ไม่สามารถเลี่ยงความรักของเราต่ออัลลอฮฺได้.
นี่เป็นเพราะว่า เมื่อมีผู้หนึ่งแสดงความเมตตาอย่างมากมายต่อคุณ,คุณจะไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เว้นแต่จะรักผู้นั้น.
2.มันค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในผู้ศรัทธาซึ่งสำนึกของความกลัวต่อการฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์.
เพราะว่าเมื่อมีผู้หนึ่งได้โปรยปรายความจำเริญต่างๆของเขาบนคุณ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะไปฝ่าฝืนคำสั่งของผู้นั้น คุณลองนึกภาพคนสองคน คนแรกไม่เคยให้อะไรคุณเลยในชีวิตของเขา,ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แล้วเขาก็มาขอให้คุณทำบางอย่างให้เขา   มันจะมีเหตุผลมากมายสำหรับคุณที่จะอ้างเพื่อหลีกเลี่ยง หรือบางครั้งอาจถึงกับบอกปฏิเสธคำขอไปเลย.
กับอีกคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณ,ผู้ซึ่งอยู่ตรงนั้นเพื่อคุณเสมอและมอบของขวัญของกำนัลและอื่นๆให้คุณเสมอ. วันหนึ่งเขามาและขอร้องให้คุณทำบางอย่างเพื่อเขา, มันจะเป็นการยากมากๆสำหรับคุณที่จะนิ่งเฉยหรือขัดคำขอของเขา. ดังนั้นในด้านของอัลลอฮฺ,เมื่อพระองค์ทรงสั่งใช้เรา เราจะรู้สึกเขินและอับอาย.เราจะฝ่าฝืนอัลลอฮฺได้อย่างไรหลังจากทุกๆสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้เรา ?
3.มันจะทำให้ผู้ศรัทธาต้องการโดยธรรมชาติที่จะมีเมตตาต่อผู้
อัลลอฮฺทรงตรัสว่า "...และพวกเจ้าจงอภัยและยกโทษ(ให้แก่พวกเขาด้วยเถิด) พวกเจ้าจะไม่ชอบหรือที่อัลลอฮฺจะทรงอภัยให้แก่พวกเจ้า" (24:22)
หมายความว่าหากคุณต้องการให้อัลลอฮฺแสดงความเมตตาคุณ.ก็จงแสดงความเมตตาต่อผู้อื่น.
จากคำพูดของนบี ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม : ญาบิรบินอับดุลลอฮฺ รายงานว่า รอซูลของอัลลอฮฺ ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "ผู้ใดไม่แสดงความเมตตาต่อมนุษย์ อัลลอฮฺจะไม่แสดงความเมตตาต่อเขา" (บุคอรี)
และท่านกล่าวว่า : "อัลลอฮฺจะทรงเมตตาต่อบรรดาบ่าวของพระองค์ที่มีเมตตา"
4.ผู้นั้นจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรักและอะไรที่ทรงรังเกียจ
เช่น หากมีบางคนทำดีต่อคุณเสมอ และเขาก็มาหาคุณที่บ้าน และคุณจะทำอาหารบางอย่างให้เขาที่เขาชอบ และหากคุณไม่รู้ว่าเขาชอบอะไรคุณก็จะถามเขาว่า ' คุณชอบกินอะไร ?'
นี่เป็นเพราะความรู้สึกโดยธรรมชาติ,เมื่อมีบางคนทำดีกับคุณเสมอ,คุณจึงต้องการตอบสนองโดยการทำบางอย่างที่เขาชอบกลับไปให้เขา. ดังนั้นผู้ศรัทธาก็พยายามอย่างที่สุดที่จะเรียนรู้ ฮะล้าลและฮารอม,และนี่คือมุมมองของเขาเกี่ยวกับฮะล้าลและฮารอม. ซึ่งจะไม่เหมือนกับคนอื่นๆที่เรียนรู้มันโดยคิดว่ามันเป็นเพียง กฎเกณฑ์และข้อบังคับต่างๆเท่านั้น คือ เขาจะคิดว่า ' หากฉันทำแบบนี้แบบนั้นฉันจะต้องลงนรก...'
แต่ทว่าผู้ศรัทธาเรียนรู้ฮะล้าลและฮารอม เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าอัลลอฮฺทรงชอบและไม่ทรงชอบอะไรบ้าง.
ดังนั้นเมื่อเราเรียน เช่น เรียนฟิกฮฺเกี่ยวกับการละหมาด,ใจจริงในการที่เรียนไปหรือมีความต้องการที่จะเรียนก็เพื่อที่จะสักการะอัลลอฮฺด้วยกับวิธีการที่พระองค์ทรงรัก,เมื่อคุณเรียนรู้เกี่ยวกับฮารอม,คุณก็ระวังเพื่อไม่ให้ตกลงไปอยู่ในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรังเกียจ.
5.คุณจะมีความรู้สึกเหล่านี้ที่ว่า คุณไม่สามารถชดใช้คืนให้อัลลอฮฺได้เลย คุณไม่สามารถทำให้สิทธิของพระองค์สมบูรณ์ได้เลย.
ดังนั้นผู้ศรัทธาจะอยู่ในสถานะของผู้ที่รู้สึกเสียดายตลอด ไม่ว่าเขาจะทำอิบาดะหฺมากเพียงใดก็ตาม เขาจะสำนึกเสมอว่าอิบาดะหฺชิ้นนี้(ที่เขากำลังปฏิบัติอยู่)จะไม่สามารถเทียบค่ากับความเอื้อเฟื้อของอัลลอฮฺที่มีต่อเขาได้.
ดังนั้นเมื่อเรามองไปสู่ชีวิตของบรรดาผู้คนดีๆที่ล่วงลับไปก่อนหน้าเรา เราจะเห็นว่าพวกเขาต่างเป็นผู้ซึ่งไม่เคยรู้สึกภาคภูมิกับบรรดาการปฏิบัติอิบาดะหฺที่พวกท่านได้ทำไป ตรงกันข้ามพวกท่านกลับรู้สึกไม่เพียงพอในการปฏิบัติอิบาดะหฺของพวกท่าน,มิใช่เพราะสภาพของตัวอิบาดะหฺที่พวกท่านทำ แต่ทว่ามันเป็นเพราะพวกท่านรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺและจำนวนของความเมตตากรุณาของพระองค์ที่มีบนพวกท่าน.พวกท่านไม่สามารถเทียบอิบาดะหฺเหล่านั้นกับความกรุณาปราณีและความเอื้อเฝื้อของอัลลอฮฺได้
มิเช่นนั้นแล้วอิบาดะหฺของพวกท่านถือว่าอยู่ในระดับที่ยิ่งใหญ่.
6.บ่าวจะไม่หมดหวังจากความเมตตาของพระองค์เป็นอันขาด
قُلْ يٰعِبَادىَ الَّذِيْنَ اَسْرَفُوْاعَلٰٓى اَنْفُسِهِمْ لَا تَقْنَطُوْامِنْ رَّحْمَةِ اللهِ  ۚ  اِنَّ اللّٰهَ يَغْفِرُالذُّنُوْبَ جَمِيْعًا  ۚ  اِنَّهٗ هُوَ الْغَفُوْرُالرَّحِيْمُ  ۝
จงกล่าวเถิด, "ปวงบ่าวของข้าเอ๋ย! บรรดาผู้ละเมิดต่อตัวของพวกเขาเองพวกท่านอย่าได้หมดหวังต่อพระเมตตาของอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอภัยความผิดทั้งหลายทั้งมวล แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ" (อัซซุมัร:53)