(ตอนที่ 1/3)
เด็กสาวชาวอบิสิเนียนคนหนึ่งลงเอยด้วยการถูกขายในมักกะหฺ.
ยังมีอีกหลายๆคนที่เหมือนเธอ,ทั้งเด็กชายและเด็กหญิง,ทั้งอาหรับและไม่ใช่อาหรับ,
ผู้ซึ่งถูกจับตัวและถูกนำมาที่ตลาดทาสของเมืองนี้ เพื่อขาย.
โชคชะตาอันน่ากลัวข้างหน้ารอคอยบางคนของพวกเขาอยู่
บรรดาผู้ซึ่งตกไปอยู่ในเงื้อมมือของนายทาสชายและหญิงที่โหดร้าย
ผู้ซึ่งจะใช้แรงงานพวกเขาอย่างเต็มที่
และจะปฏิบัติกับพวกเขาด้วยความแข็งกระด้างและหยาบคาย. แต่มีบางคนในสภาพไม่เป็นมนุษย์นี้
ดูเหมือนจะโชคดีกว่า. พวกเขาถูกนำตัวไปอยู่ในบ้านที่มีความสุภาพและผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยพวกเขา.
บารอกะหฺ,
หญิงสาวอบิสิเนียน คือหนึ่งในผู้ที่โชคดีที่สุด เธอได้รับการช่วยเหลือโดย
อับดุลลอฮฺ ผู้มีความเอื้อเฟื้อและใจดี,ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของอับดุลมุตตอลิบ. เธอกลายเป็นคนรับใช้เพียงคนเดียวในครอบครัวของเขาและเมื่อเขาแต่งงานกับ
อามีนะหฺ เธอก็ช่วยดูแลงานการของอามีนะหฺเช่นกัน.
สองสัปดาห์หลังจากทั้งคู่แต่งงานกัน,ตามรายงานของบารอกะหฺ,บิดาของอับดุลลอฮฺมาที่บ้านของพวกเขาและสั่งใช้บุตรชายให้ออกไปกับกองคาราวานค้าขาย
ซึ่งจะเดินทางไปซีเรีย. อามีนะหฺรู้เป็นสึกกังวลอย่างมากและร้องไห้ : “ช่างน่าแปลกใจ! ,ช่างน่าแปลกใจเสียจริง!
สามีของฉันจะออกเดินทางไปค้าขายที่ซีเรียได้อย่างไรกัน
ทั้งๆที่ฉันยังอยู่ในสภาพเป็นเจ้าสาวของเขา และทั้งๆที่ร่องรอยของ เฮนน่า
ยังหลงเหลืออยู่บนมือของฉัน.”
การจากไปของอับดุลลอฮฺเป็นสิ่งที่ทำให้ใจสลาย.ด้วยความปวดร้าว,
อามีนะหฺหมดสติ. หลังจากที่เขาละจากไป, บารอกะหฺ กล่าวว่า :
“เมื่อฉันพบว่าอามีนะหฺหมดสติไป,ฉันตะโกนออกมาด้วยเสียงดังเพราะความเครียดและเจ็บปวดว่า: ‘โอ้ท่านหญิงของฉัน ! ’ อามีนะหฺลืมตาของเธอขึ้นและมองฉันทั้งน้ำตาที่ไหลรินบนใบหน้าของเธอ.เธอข่มการคร่ำครวญไว้แล้วกล่าวว่า
: “ช่วยพาฉันไปที่ที่นอนหน่อยเถอะ บารอกะหฺ”
อามีนะหฺอยู่ติดแต่ที่นอนเป็นระยะเวลานาน.นางไม่คุยกับใคร.ไม่แม้กระทั่งมองคนอื่นๆที่มาเยี่ยมนาง
ยกเว้นอับดุลมุตตอลิบ,ชายชราผู้สูงศักดิ์และเป็นสุภาพบุรุษ. “สองเดือนหลังจากที่หลังจากการละจากไปของอับดุลลอฮฺ,อามีนะหฺเรียกฉันตอนรุ่งสางและใบหน้าของนางส่องประกายด้วยความปิติ,นางได้กล่าวกับฉันว่า
:
“โอ้ บารอกะหฺ !ฉันได้เห็นฝันที่แปลกประหลาด”
“เป็นเรื่องที่ดี,โอ้ นายหญิง,” ฉันกล่าว.
ฉันเห็นแสงออกมาจากท้องของฉันแล้วส่องแสงสว่างไปทั่วบรรดาภูเขา,เนินเขาและบรรดาหุบเขารอบๆมักกะหฺทั้งหมด”
“ท่านรู้สึกว่าตั้งครรภ์หรือปล่าว,โอ้นายหญิงของข้า?”
“ใช่แล้ว,บารอกะหฺ” นางตอบ.
“แต่ฉันไม่เห็นรู้สึกไม่สบายตัวเหมือนกับที่ผู้หญิงอื่นๆเค้ารู้สึก.”
“ท่านจะได้ให้กำเนิดเด็กผู้ซึ่งจะนำพาซึ่งความดีงามมาเป็นแน่.” ฉันกล่าว.
ตราบเท่าที่อับดุลลอฮฺยังอยู่ห่างไกล,อามีนะหฺยังคงอยู่ในความโศกเศร้าและใจลอย.บารอกะหฺยังคงอยู่เคียงข้างนางและพยายามปลอบใจนางและให้กำลังใจนางด้วยการพูดคุยและเล่าเรื่องต่างๆให้นางฟัง.
อย่างไรก็ตามอามีนะหฺได้รับความเครียดมากขึ้นเมื่ออับดุลมุตตอลิบเข้ามาและแจ้งว่านางจะต้องออกจากบ้านแล้วไปยังภูเขาเหมือนกับที่บรรดาชาวมักกะหฺคนอื่นๆทำ
เนื่องด้วยการโจมตีที่กระชั้นเข้ามาสู่เมือง โดยผู้ครองเมืองเยเมนผู้ซึ่งมีนามว่า
อับรอฮะหฺ. อามีนะหฺกล่าวกับเขาว่านางถูกความทุกข์ถาโถมเข้าใส่และอ่อนแอเกินไปที่จะออกไปยังภูเขา
แต่นางก็ยังยืนกรานเรื่องนี้ด้วยว่าอับรอฮะหฺไม่สามารถเข้ามาในมักกะหฺเพื่อทำลายกะอฺบะหฺได้อย่างแน่นอน
เพราะมันถูกรักษาโดยผู้ทรงอำนาจ.อับดุลมุตตอลิบเริ่มกระวนกระวายใจทว่าไม่มีท่าทีของความหวาดกลัวจากใบหน้าของอามีนะหฺแม้แต่เล็กน้อย.ความมั่นใจของนางในเรื่องที่ว่ากะอฺบะหฺจะไม่ถูกทำอันตรายเด็ดขาดนั้นได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน.กองทัพของอับรอฮะหฺพร้อมด้วยช้างที่อยู่ในแนวหน้าถูกทำลายราบก่อนหน้าที่มันจะได้เข้าเมืองมักกะหฺ.
ทั้งกลางวันและกลางคืน,บารอกะหฺอยู่เคียงข้างอามีนะหฺ.เธอกล่าวว่า
“ฉันจะนอนอยู่ปลายเตียงและจะได้ยินเสียงพึมพำถึงสามีที่ไม่อยู่ของนางในตอนกลางคืน.เสียงของนางจะทำให้ฉันตื่นขึ้นและฉันจะคอยปลอบและให้กำลังใจนาง”
หัวแถวของคาราวานจากซีเรียกลับมาแล้ว
และได้รับการต้อนรับอย่างปลื้มปีติดีใจจากครอบครัวต่างๆในนครมักกะฮฺ บะรอกะฮฺแอบไปที่บ้านของอับดุลมุตตอลิบเพื่อสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับอับดุลลอฮฺ
แต่ไม่มีข่าวคราวของเขาเลย เธอกลับไปแต่ไม่ได้บอกเธอสิ่งที่เธอได้พบหรือได้ยินมา
เพราะอาจจะทำให้อามินะฮฺต้องทุกข์ทรมานเข้าไปอีก คาราวานทั้งหมดเข้ามาจนครบ
แต่ไม่มีอับดุลลอฮฺ
ต่อมา
เมื่อมีข่าวมาจากมาดีนะฮฺว่าอับดุลลอฮฺเพิ่งเสียชีวิตไป
บะรอกะฮฺอยู่ที่บ้านอับดุลมุตตอลิบ เธอกล่าวว่า “ฉันกรีดร้องเมื่อฉันได้ยินข่าว
ฉันไม่รู้ว่าทำอะไรไปบ้างหลังจากที่ได้ยินข่าว นอกจากวิ่งไปบ้านอามินะฮฺ ฉันตะโกน
คร่ำครวญ ต่อการจากไปของอับดุลลอฮฺที่ไม่มีวันกลับ เสียใจให้กับคนรักที่เรารอคอยมาอย่างยาวนาน
คร่ำครวญให้กับชายหนุ่มที่งดงามที่สุดของมักกะฮฺ สำหรับอับดุลลอฮฺ
เขาคือความภาคภูมิใจของชาวกุเรช
เมื่ออามินะฮฺได้ยินข่าวอันเจ็บปวด
เธอเป็นลมสิ้นสติ และฉันอยู่ข้างเตียงของนางในขณะที่นางอยู่ในสภาพระหว่างความเป็น
และความตาย ไม่มีใครอื่น นอกจากฉันในบ้านของอามินะฮฺ ฉันพยาบาลนาง และดูแลนางในระหว่างวัน
และตลอดทั้งคืนจนกระทั่งนางให้กำเนิดบุตรของนาง “มุฮัมมัด”
ในคืนที่ชั้นฟ้างามอร่ามด้วยแสงจากอัลลอฮฺ”
เมื่อมุฮัมมัดได้ถือกำเนิดขึ้นมา,บารอกะหฺคือคนแรกที่ได้อุ้มเขาในอ้อมกอด.ปู่ของเขามาและนำเขาไปยังกะอฺบะหฺและฉลองการถือกำเนิดของเขากับชาวมักกะหฺทั้งหมด.
บารอกะหฺอยู่กับอามีนะหฺขณะที่มุฮัมมัดถูกส่งตัวไปกับ ฮาลีมะหฺ
ผู้ซึ่งดูแลเขาท่ามกลางบรรยากาศของความสดชื่นในทะเลทรายโล่ง.เมื่อครบกำหนด 5 ปี , เขาถูกนำกลับมาที่มักกะหฺและอามีนะหฺรับเขาด้วยความนุ่มนวลและความรัก
และบารอกะหฺได้ต้อนรับเขา “ด้วยความดีใจ, ด้วยความปรารถนาและความชื่นชม”.
เมื่อมุฮัมมัดอายุได้หกปี,มารดาของเขาตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพของอับดุลลอฮฺสามีของนางที่มะดีนะหฺ.
ทั้งบารอกะหฺและอับดุลมุตตอลิบพยายามที่จะห้ามปรามนาง.
อย่างไรก็ตามอามีนะหฺได้ตั้งใจมั่นไปแล้ว. ดังนั้น ในเช้าวันหนึ่ง
อามีนะหฺ,มุฮัมมัดและบารอกะหฺได้เริ่มออกเดินทาง. โดยนั่งเบียดกันในสัปคับ(หอดา Hawdaj ที่นั่ง มีม่านและหลังคา บนหลังอูฐ )
เล็กๆบนหลังอูฐตัวใหญ่ตัวหนึ่ง, เป็นส่วนหนึ่งจากกองคาราวานขนาดใหญ่ที่มุ่งหน้าไปซีเรีย.
เพื่อที่จะปกป้องเด็กที่อ่อนโยนจากความเจ็บปวดและความกังวล,
นางไม่ได้บอกให้มุฮัมมัดทราบว่านางกำลังจะไปเยี่ยมสุสานของพ่อของเขา.